ปัญหารถสตาร์ทไม่ติด เกิดมาจากระบบของแบตเตอรี่?

เรื่องของปัญหารถสตาร์ทไม่ติด ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่เลยนะครับ สำหรับคนใช้รถใช้ถนน แถมอาการแบบนี้ก็สามารถเกิดได้ในหลายกรณีด้วย แต่อีกหนึ่งกรณีที่เราควรที่จะให้ความสนใจนั่นก็คือ อาการที่เกิดขึ้นจากระบบของแบตเตอรี่นั่นเองครับ วันนี้ผม “ช่างเค” เลยจะขอเอาเรื่องนี้มาบอกมาคุยกันครับ …แต่ก่อนที่จะมาคุยถึงรายละเอียดลึกๆ ผมขออธิบายนิดนึง สำหรับเรื่องของแบตเตอรี่

หลายๆ คนที่ใช้รถมักเข้าใจว่า “แบตเตอรี่” เป็นอุปกรณ์ ที่ทำหน้าที่ผลิตไฟฟ้า เพื่อจ่ายกระแสไฟให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ในรถยนต์ ซึ่งต้องมาทำความเข้าใจกันใหม่ นั่นคือ ระบบการชาร์ทไฟของแบตเตอรี่นั้น ถ้าเปรียบให้เข้าใจง่ายๆ หากเป็นบ้านก็เหมือนถังสำรองที่ใช้เก็บน้ำ หากมีการใช้น้ำก็จะมีปั้มน้ำจ่ายน้ำให้เต็มถังสำรองอยู่ตลอดเวลา ในรถยนต์ก็เช่นกัน แบตเตอรี่ก็จะเป็นที่กักเก็บประจุไฟฟ้า เมื่อมีการสตาร์ทเครื่องยนต์ ก็จะดึงไฟไปจ่ายให้กับมอเตอร์สตาร์ททำงาน และเมื่อเครื่องยนต์สตาร์ทติดแล้ว ไดร์ชาร์ทจะทำหน้าที่จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ที่ต้องการใช้ไฟฟ้า เพื่อไปจ่ายให้อุปกรณ์นั้นๆทำงาน ซึ่งหากไดร์ชาร์ทมีปัญหา นั่นก็จะเหมือนประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่จะถูกดึงออกไป โดยไม่มีการถูกกักเก็บประจุไฟฟ้า ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่มีประจุไฟฟ้าที่ไม่เพียงพอไปจ่ายให้มอเตอร์สตาร์ททำงาน เครื่องยนต์จึงสตาร์ทไม่ติด หรือไม่มีกำลังไปหมุนให้เครื่องยนต์ เกิดการสันดาปภายใน

วิธีที่จะสังเกตว่า ไดร์ชาร์ทจ่ายไฟออกมาหรือไม่ สังเกตได้ที่หน้าปัทม์จะมีไฟเตือนรูปสัญลักษณ์แบตเตอรี่ ซึ่งก่อนที่เราจะบิดสวิทช์กุญแจไปตำแหน่งสตาร์ท (กุญแจอยู่ในตำแหน่ง ON) จะมีไฟสัญลักษณ์นี้ปรากฏออกมา เพื่อแจ้งให้เราทราบว่า ระบบไฟสำหรับไดชาร์ท พร้อมที่จะทำงานให้เรา หากไม่ปรากฏออกมาต้องนำรถเข้าตรวจสอบหรือหาสาเหตุก่อนที่จะนำรถมาใช้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ประจุไฟฟ้าจะถูกดึงออกมาจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว ไม่มีการชาร์ทไฟกลับเข้าแบตเตอรี่หลังจากเครื่องยนต์สตาร์ทติดแล้ว

“ไฟสัญลักษณ์รูปแบตเตอรี่ จะต้องดับลงโดยอาจจะใช้เวลา 1-5 วินาที หากไฟไม่ยอมดับลง นั่นแสดงว่า ไดชาร์ทไม่มีการจ่ายประจุไฟฟ้าเข้ามาที่แบตเตอรี่หรือระบบชาร์ทไฟของรถยนต์นั่นมีปัญหา”

เราอาจจะขับรถเพื่อมาให้ทางช่างตรวจสอบได้ แต่ระยะทางที่วิ่งต้องไม่เกิน 10 กม. เพราะไฟจะถูกดึงออกมาจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว อาจจะทำให้รถที่คุณใช้อยู่ ดับกลางทางได้ครับ

วิธีที่จะรักษา ระบบชาร์ทให้คงอยู่กับรถเราไปนานๆ นั่นคือ ต้องหลีกเลี่ยงการใช้ไฟที่เกินกำลังของไดร์ชาร์ท เช่น มีการเพิ่มอุปกรณ์เครื่องเสียงที่ใช้กำลังไฟเยอะๆ หรือไปติดตั้งไฟตัดหมอก ที่กินกำลัง Watt สูงๆ และต้องมีการปรับตั้งสายพานให้อยู่ในค่าระยะที่กำหนด เนื่องจากหากสายพานหย่อนยาน ค่าความตึงไม่ได้ ก็จะทำให้การหมุนของไดร์ชาร์ททำงานไม่ได้เต็มที่ รถยนต์ในรุ่นใหม่ๆ จึงออกแบบให้มีตัวปรับตั้งความตึงสายพานอัตโนมัติออกมา เพื่อลดปัญหาในจุดนี้ไป และเมื่อถึงเวลาที่กำหนดต้องตรวจเช็ค/เปลี่ยนสายพาน ก็ต้องรีบดำเนินการ เพราะหากสายพานไม่มีประสิทธิภาพหรือเกิดการขาด รถยนต์จะดึงไฟจากแบตเตอรี่มาใช้เพียงอย่างเดียว ไม่มีการเติมประจุเข้าไปในแบตเตอรี่ อีกจุดหนึ่งที่ไม่ควรละเลยนั่นคือ หากมีความชื้นที่มาจากน้ำเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจจะทำให้ไดร์ชาร์ทของคุณนั่นเสียหายได้ง่าย จึงต้องระวังในการใช้รถที่อยู่บนพื้นถนนที่มีน้ำท่วมขัง ดังนั้นทุกๆ 6 เดือนหรือทุก 10,000 กม จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบระบบการชาร์ทไฟของรถยนต์อยู่เป็นประจำ เพื่อให้รถที่เราใช้งานสามารถวิ่งได้โดยไม่มีปัญหาตามมาครับ

เครดิต www.kmotors.co.th