ซื้อรถมือสอง ควรเช็คของเหลวภายในเครื่องยนต์จุดไหนบ้าง

รถยนต์มือสองอาจเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์สำหรับใครหลายๆคน ทั้งในเรื่องของความคุ้มค่า และ ประหยัดเงินในกระเป๋าลงไปได้มาก แต่ก็ต้องสำรองเงินอีกหนึ่งก้อนเอาไว้เพื่อตรวจเช็คและปรับเปลี่ยนทั้งสิ่ง ของภายในหรือภายนอกเองก็ดี และสละเวลาเพื่อตรวจเช็คบำรุงรักษามากขึ้น สำหรับวันนี้เรามีเทคนิคเล็กๆน้อยๆ สำหรับคนที่พึ่งซื้อรถยนต์มือสองมาขับ ว่าหลังจากที่ได้รถมาแล้วเราจะต้องตรวจเช็คของเหลวอะไรบ้างในรถ เพื่อสมรรถนะที่ดีในการขับขี่ และเป็นการยืดอายุการใช้งานให้รถอยู่กับเราไปนานๆ

น้ำมันเครื่องเป็นอันดับต้นๆที่เราต้องเปลี่ยน สำหรับรถมือสองต้องหมั่นตรวจเช็คน้ำมันเครื่อง สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เป็นอย่างต่ำ โดยการวัดระดับน้ำมันเครื่องต้องทำหลังจากดับเครื่องยนต์ไปแล้ว 5 นาที และควรจอดในพื้นราบ โดยนำกระดาษหรือทิชชู่มารองเพื่อดูระดับ และสีของน้ำมันเครื่อง วิธีการดูระดับให้ดูที่ปลายก้านน้ำมันเครื่อง ระดับที่เหมาะสมคือ อยู่ระหว่าง กึ่งกลาง จุด MIN – ต่ำสุด และ MAX – สูงสุด ไม่ควรให้น้ำมันเครื่องอยู่ในระดับที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป เพราะหากน้ำมันเครื่องมากเกินไปอาจทำให้ข้อเหวี่ยงไปโดนและกระเด็นเข้าสู่ ห้องเผาไหม้เกิดควันขาว แต่ถ้าน้ำมันเครื่องน้อยเกินไปนั้นอาจทำให้เครื่องยนต์เกิดการสึกหรอ ส่วนสีนั้นไม่ควรปล่อยให้เป็นสีน้ำตาลเข้มเหมือนกาแฟใส่นมเพราะอาจะทำให้ เครื่องพังสะสมได้ง่ายขึ้น

แม้น้ำมันเพาเวอร์จะไม่มีกำหนดการเปลี่ยนที่ชัดเจน แต่หากเปลี่ยนทุกๆ 1-2 ปี ก็สามารถทำให้เพิ่มความทนทานของพวงมาลัยเพาเวอร์มากขึ้น สำหรับรถมือสอง ควรหมั่นตรวจสอบทุก 1 สัปดาห์ และหากพบน้ำมันพร่องลงไปควรเติ่มให้เต็มเสมอ แต่โดยปกติระดับน้ำมันลงช้ามาก ใน 1 เดือนแทบไม่ยุบ แต่หากลดระดับเร็วผิดปกติให้สันนิษฐานไว้เลยว่าอาจมีการรั่วซึม น้ำมันเพาเวอร์สามารถเปลี่ยนเองได้ง่ายๆแต่อาจจะไม่หมดจดนัก โดยการดูดน้ำมันเก่าออกให้หมดแล้วเติมน้ำมันใหม่ลงไปให้เต็ม จากนั้นติดเครื่องยนต์สักพัก แล้วดูดน้ำมันทิ้ง แล้วเติมใหม่ ทำซ้ำๆแบบนี้ ประมาณ 5 รอบ อาจเปลืองหน่อยแต่ก็สามารถทำเองได้ไม่ต้องง้อช่าง อีกวิธีคือใช้เครื่องมือพิเศษดูดออก ตามร้านใหญ่ๆพอจะมีอยู่ให้เห็นบ้างในเมืองไทย วิธีนี้หมดจดสะอาดกริ๊บแน่นอน แต่ค่าใช้จ่ายสูงหน่อย แนะนำถ้าใครลุยน้ำมาแล้วน้ำเข้าให้รีบนำไปเปลี่ยนด้วยวิธีนี้ด่วนๆ เพราะอาจเกิดความเสียหายได้ และที่สำคัญไม่ควรใช้น้ำมันเพาเวอร์ต่างรุ่นต่างยี้ห้อผสมกัน

ใครจะรู้ว่าน้ำมันเบรกก็มีอายุการใช้งานกับ เขาด้วย และจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนตามกำหนด ในระยะเวลา 1-1 ปีครึ่ง เพื่อควบคุมจุดเดือดและไล่ความชื่น ที่ทำให้เกิดสนิมในระบบเบรก ถึงแม้จะไม่มีการรั่วซึมหรือผิดปกติใดๆ แต่เพราะน้ำมันเบรกทำงานภายใต้ความร้อนตลอดเวลา น้ำมันเบรกจึงมีจุดเดือดและจุดชื่นในตัวเอง เพราะฉะนั้นเราควรให้ความสำคัญกับน้ำมันเบรกและเปลี่ยนเมื่อครบกำหนด เพราะหากน้ำมันมีความชื่นจากอากาศ หรือ มีน้ำแทรกตัวเข้าไปผสม อาจทำให้เกิดสนิม จนกระบอกเบรกหรือลูกยางเสียหาย ในส่วนของการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกนั้นไม่ยุ่งยากนักเพียงดูดน้ำมันเก่าออก ให้หมดกระปุก เติมน้ำมันเบรกใหม่เข้าไปประมาณครึ่งกระปุก จากนั้นไล่น้ำมันเบรกแต่ละล้อออก พร้อมเติมน้ำมันเบรกเพิ่มอย่าให้หมด ทำจนกว่าน้ำมันเดิมถูกไล่ออกจนหมด และมีน้ำมันเบรกใหม่สีใสๆไหลออกมาแทน

สามารถเสื่อมสภาพได้ตามระยะทางและเวลา อายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 20,000-30,000 กิโลเมตร หรือระยะเวลา 1 ปี แต่หากยังใช้งานไม่ครบตามระยะทางที่กำหนดก็สมควรเปลี่ยน เนื่องจากความชื่นหรือความร้อนในระหว่างการใข้งานก็ทำให้เสื่อมสภาพได้ รถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้าที่มีชุดเกียร์รวมกับชุดเฟืองท้าย มักนิยมใช้น้ำมันหล่อลื่นร่วมกัน ส่วนรถยนต์ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ส่วนใหญ่มีชุดเกียร์แยกกับชุดเฟืองท้าย อาจใช้น้ำมันหล่อลื่นเหมือนหรือต่างชนิดกัน ทั้งนี้ให้ดูตามกำหนดคู่มือเป็นหลัก การตรวจวัดระดับน้ำมันเกียร์หรือเฟืองท้าย หากมีก้านวัดระดับอย่าหลงลืม เพราะอาจสร้างความเสียหายได้ในระยะสั้น ศึกษาให้ดีว่าตามคู่มือกำหนดให้วัดด้วยวิธีไหน ขณะดับเครื่องยนต์หรือติดเครื่องยนต์ หากไม่มีก้านวัดระดับ ควรหมั่นสังเกตการรั่วซึมหรือหยดน้ำมันอยู่เสมอ

การดูแลรักษาควรหมั่นตรวจสอบระดับน้ำหม้อน้ำทุก 2-5 วัน โดยปกติไม่ควรลดระดับลงเร็วมากเกินสัปดาห์ละครึ่งลิตร ควรล้างหรือเปลี่ยนถ่ายน้ำทุก 6-9 เดือน และควรระวังน้ำยาล้างบางชนิดที่อาจกัดกร่อนซีลยางต่างๆ ได้ การเติมน้ำยาป้องกันความร้อน อาจช่วยในเรื่องระบายความร้อนไม่มากนัก แต่จะช่วยป้องกันสนิมเสียส่วนใหญ่ อัตราส่วนการเติมน้ำยาในรถยนต์แต่ละรุ่นไม่เท่ากัน บางรุ่นห้ามเติมล้วนๆ บางรุ่นกำหนดให้เติมล้วนๆ แนะนำให้ศึกษาจากผู้รู้หรือฝ่ายเทคนิคของบริษัทรถยนต์นั้นๆหรือ ศึกษาด้วยตนเองในคู่มือ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด น้ำที่ใช้ผสมเติมหม้อน้ำควรใช้น้ำกรอง เพราะน้ำประปาหรือน้ำบาดาลอาจทำให้เกิดตะกอนขึ้นได้

เครดิต www.carvariety.com