เซงไหมล้างรถเสร็จฝนตก แล้วจะ ‘ล้างรถ’ ดีไหม?

หลายคนมีความเชื่อผิดๆว่าการล้างรถช่วงหน้าฝนไม่มีความจำเป็น เพราะถึงอย่างไรล้างไปก็เจอฝนตกใส่อยู่ดี จะล้างซ้ำซ้อนไปเพื่ออะไร

แต่ในความเป็นจริงนั้น แม้ว่าจะเจอฝนกระหน่ำขนาดไหน แต่รถก็ยังมีความจำเป็นต้องล้างอยู่สม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการล้างคราบสกปรกบนพื้นผิวรถ ซึ่งคราบเหล่านี้หากถูกสะสมไว้เป็นระยะเวลานาน เจอฝนกระหน่ำเข้าอยู่บ่อยๆ จะส่งผลให้สีรถเกิดการอาการหมองได้ นานๆเข้าอาจกลายเป็นคราบไคลที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้ด้วยวิธีปกติ ต้องใช้วิธีขัดสีลูกเดียว

นอกจากนั้น น้ำฝนในบ้านเราถือว่าไม่สะอาดเอาเสียเลย เนื่องจากสภาพอากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นควัน จะยิ่งทำให้รถกลายเป็นคราบได้ง่ายขึ้น หากอยู่ในพื้นที่ที่มีโรงงานปล่อยสารเคมีสูงๆ น้ำฝนในละแวกนั้นอาจกลายเป็นฝนกรดที่จะทำร้ายสีรถได้อย่างไม่รู้ตัว อย่างไรก็ดี ยังมีข้อแนะนำอีก 5 อย่างสำหรับการดูแลสีรถหน้าฝน เพื่อป้องกันไม่ให้สีรถถูกทำลาย ประกอบด้วย

1. ใช้น้ำฉีดล้างคราบ

หากไม่สะดวกล้างรถในขณะนั้น ควรใช้สายฉีดน้ำไล่คราบโคลน, ฝุ่น และน้ำฝนออกไปจากพื้นผิวรถ จะช่วยลดความเสี่ยงเกิดคราบฝั่งแน่นหรือรอยด่างกับสีรถได้

2. ไม่ควรจอดรถกลางแดดหลังจากฝนตก

หลังฝนตกใหม่ๆ ไม่ควรจอดรถในที่กลางแดดจัดๆ เพราะความร้อนจะทำให้คราบน้ำฝนแห่ง เกิดเป็นคราบฝังอยู่บนสีรถ และอาจกัดลึกลงไปในเนื้อสีได้

3. ไม่ควรใช้ผ้าแห้งเช็ดทันที

เพราะน้ำฝนที่เกาะตัวบนตัวถังรถมักมีเศษสกปรกอยู่ด้วย การเช็ดรถที่มีน้ำฝนเกาะอยู่ จะทำให้สีรถได้รับความเสียหายเกิดเป็นรอยได้ ควรล้างรถก่อนจึงจะดีที่สุด

4. ไม่ควรจอดรถใต้ร่มที่มียางเกสร, ดอก หรือผล

สิ่งที่หลุดร่วงมาจากต้นไม้อาจส่งผลให้สีรถเกิดความเสียหาย กลายเป็นรอยด่างได้ นอกจากนั้น ยังเสี่ยงต่อการถูกกิ่งไม้หล่นใส่อีกด้วย

นี่แหละครับสาเหตุที่ควรล้างรถเป็นประจำแม้ช่วงฤดูฝน มิเช่นนั้นอาจต้องนำรถไปทำสีกันยกใหญ่ เพราะขาดการดูแลอย่างเหมาะสมนั่นเองครับ

เครดิต www.sanook.com