เปลี่ยนหัวเทียนแบบไหนดี?

หัวเทียน (Spark Plug) เป็นอุปกรณ์จุดประกายไฟภายในห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์แก๊สโซลีนหรือเบนซิน ซึ่งจะมีตามจำนวนของลูกสูบในเครื่องยนต์นั้น หรือมีประจำทุกสูบ เช่น 4 สูบก็มี 4 อัน, 8 สูบ ก็มี 8 อัน แต่ในเครื่องยนต์บางรุ่นอาจมีหัวเทียน 2 หัวต่อ 1 สูบ แล้วแต่ผู้ผลิตจะออกแบบมา และมักเรียกว่า “Twin spark”

เครื่องยนต์ Toyota 3T-GTE Twin Spark
ภาพจาก www.toycrazy.net

เครื่องยนต์ Alfa romeo Twin Spark 4 สูบ 8 หัวเทียน
ภาพจาก www.squadra916.com

เครื่องยนต์ Toyota 4A-GE 4 สูบก็มี 4 หัวเทียน
ภาพจาก www.aeracingclub.net

เครื่องยนต์ Honda Civic Turbo 4 สูบ มี 4 หัวเทียน

หัวเทียนเป็นชิ้นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญมากในกระบวนการทำงานของเครื่องยนต์ ติดตั้งบริเวณฝาสูบและยื่นเข้าไปในส่วนของห้องเผาไหม้ ทำหน้าที่เป็นตัวจุดระเบิดโดยอาศัยการกระโดดข้ามของประกายไฟฟ้าจากแกนกลางไปยังเขี้ยวหัวเทียน ดังนั้นสมรรถนะจะดีหรือแย่ก็ขึ้นกับสภาพและอายุการใช้งานของหัวเทียนเป็นสำคัญ โดยควรเปลี่ยนทุกๆ 1 แสนกิโลเมตร สำหรับแบบ iridium ส่วนแบบธรรมดาราวๆ 8,000 – 20,000 กิโลเมตร เดี๋ยวเรามาทำความรู้จักกับหัวเทียนไปพร้อมๆ กับการเลือกใช้หัวเทียนอันใหม่เมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนกันครับ

ภาพจาก www.ngk.de

ภาพจาก dataengine.wikispaces.com

ประเภทของหัวเทียน

หัวเทียนแบ่งรูปแบบตามลักษณะการใช้งานออกเป็น 3 แบบคือ

1. หัวเทียนเย็น – หัวเทียนที่มีขนาดของฉนวนที่สั้น ระบายความร้อนได้ง่ายและรวดเร็ว จึงมีความร้อนสะสมน้อย สามารถช่วยลดปัญหาและความเสี่ยงของการชิงจุดระเบิดก่อน เหมาะกับการใช้งานที่ใช้ความเร็วหรือวิ่งระยะทางยาวๆ เป็นเวลานาน ความร้อนจะสะสมไม่มากระบายได้เร็ว แต่มีข้อเสียคือ เกิดเขม่าที่หัวเทียนง่าย ทำให้จุดระเบิดได้ไม่เต็มที่ และอาจทำให้เกิดการลัดวงจรของกระแสไฟหรือชิงจุดระเบิดล่วงหน้าได้ และไม่เหมาะกับรถที่ใช้ความเร็วต่ำ
2. หัวเทียนมาตรฐาน – หัวเทียนที่มีความร้อนปานกลางหรือที่ใช้ในรถยนต์ทั่วไป การระบายความร้อนระดับปานกลาง และมักเป็นหัวเทียนที่มากับรถ ติดตั้งมาให้จากโรงงาน เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ที่ใช้ความเร็วปานกลาง
3. หัวเทียนร้อน – หัวเทียนแบบนี้มีขนาดของฉนวนที่ยาว (ระยะทางระบายความร้อนจากเขี้ยวหัวเทียนถึงฝาสูบยาว) ระบายความร้อนออกไปได้ช้า และจะสะสมอยู่ในตัวหัวเทียนได้มาก เหมาะสำหรับสภาพการขับขี่ในเมืองหรือการขับขี่ที่ใช้ความเร็วไม่มากและเครื่องยนต์ที่ใช้งานระยะสั้นๆ

นอกจากนี้ยังต้องดูค่าความร้อน (ตัวเลข) ของเทียนให้ถูกต้องด้วยว่า ระดับใดจึงจะเหมาะสมกับเครื่องยนต์ที่ใช้งานอยู่ เช่น หัวเทียนเบอร์ 6-7 มีค่าความร้อนปลางกลางนับเป็นค่ามาตรฐาน ซึ่งค่าความร้อนของแต่ละผู้ผลิตอาจไม่เหมือนกันควรดูรายละเอียดจากคู่มือรถยนต์หรือสอบถามร้านค่าที่ซื้อดีกว่าครับ

ภาพจาก www.gamerth.com – ภาควิชาครุศาสตร์เครื่องกล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

ภาพจาก www.euromotoelectrics.com

รูปแบบของหัวเทียน

หัวเทียนมีหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตที่จะคิดค้นความสมารถในการจุดประกายไฟหรือจุดระเบิดว่าแบบไหนเหมาะสมกับเครื่องยนต์ลักษณะใด ซึ่งในท้องตลาดจะมีรูปแบบหัวเทียนดังนี้

1. หัวเทียนแบบเขี้ยว คือ หัวเทียนที่มีส่วนเขี้ยวยื่นออกมา เพื่อให้กระแสไฟกระโดดข้ามจากแกนกลางไปยังเขี้ยว ทำให้เกิดการจุดระเบิดในห้องเผาไหม้

หัวเทียนแบบ 4 เขี้ยว

2. หัวเทียนไม่มีเขี้ยว คือ ไม่มีส่วนที่ยื่นออกมาเป็นเขี้ยวนั่นเอง อาศัยการกระโดดข้ามของกระแสไฟฟ้าจากแกนกลางไปบริเวณรอบๆ ข้างหัวเทียนเอง ซึ่งมีข้อดีคือ ทนทานต่อความร้อน ให้ประกายไฟต่อเนื่อง แต่อาจไม่เหมาะกับการใช้งานความเร็วต่ำๆ

ภาพจาก www.brisksparkplugs.com.au

3. หัวเทียน Iridium คือ หัวเทียนที่ใช้โลหะแพลทืนัมเป็นแกนกลาง สามารถทนความร้อนได้สูงกว่า ราวๆ 2,500 องศาเซลเซียส ส่วนหัวเทียนแกนนิเกิลทนความร้อนได้เพียง 1,500 องศาเซลเซียส อายุการใช้งาน 1 แสนกิโลเมตร

หัวเทียนแกนเพลทินัม

ภาพจาก denso-sparkplug.lnwshop.com

 

 

ควรเปลี่ยนหัวเทียนเมื่อไหร่?

หัวเทียนมีอายุการใช้งานตามแต่ประเภทของวัสดุที่ใช้ เช่น แบบธรรมดาหรือที่เป็นแกนนิเกิลควรเปลี่ยนทุกๆ 8,000 – 20,000 กิโลเมตร ส่วนหัวเทียนที่ใช้แกนเพลทตินัม หรือ อิริเดียม ควรเปลี่ยนทุกๆ 100,000 กิโลเมตร และหากเป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือกอย่างแก๊ส LPG/CNG ควรเปลี่ยนก่อนถึงระยะจริงอย่างน้อย 20,000 กิโลเมตร

ภาพจาก lisaandroger.com

หากถึงกำหนดหรือระยะที่ควรเปลี่ยนบางครั้งอาจมีอาการที่รู้สึกได้ เช่น สตาร์ตยาก เครื่องยนต์เดินเบาสะดุด ไม่เรียบ เร่งสะดุด ไม่มีกำลัง กินน้ำมัน และอาจมีเสียง หรือมีอาการ “น็อค” เครื่องยนต์ เป็นต้น

ภาพจาก denso-sparkplug.lnwshop.com

เลือกแบบไหนดี?

การเลือกเปลี่ยนหัวเทียนในรถยนต์ที่ใช้งานทั่วไปให้เปลี่ยน รุ่น แบบ และสเปค ตามคู่มือรถยนต์แต่ละรุ่นกำหนดไว้ หากเป็นรถยนต์ที่ใช้งานหนักบ่อย ขับทางไกลเป็นประจำ และใช้ความเร็วสูงๆ แช่ยาว อาจต้องเปลี่ยนสเปคของหัวเทียนหรือเบอร์ให้เหมาะสมมากขึ้น เช่น ใช้แบบอิริเดียม เพื่อความทนทานมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมักถูกติดตั้งมาจากโรงงานผลิตรถยนต์แล้ว

ภาพจาก www.matthewsvolvosite.com

รถยนต์ที่ใช้งานหนักมากหรือใช้ความเร็วสูงมาก เช่น เครื่องยนต์ที่ถูกโมดิฟายหรือเครื่องยนต์ติดตั้งเทอร์โบ ควรเลือกใช้หัวเทียนที่ตายความร้อนได้เร็ว หรือหัวเทียนเย็น เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้ความเร็วสูง รอบสูง และมีความสะสมมากๆ
การใช้หัวเทียนไม่ตรงกับลักษณะใช้งาน อาจส่งผลกระทบกับเครื่องยนต์โดยตรง เช่น ใช้งานในเมืองทั่วไปความเร็วต่ำๆ แต่ใช้หัวเทียนเย็น อาจทำให้เครื่องยนต์ไม่เรียบ เดินไม่นิ่ง เพราะอุณหภูมิไม่ถึงจุดที่ใช้งาน หรือรถยนต์ติดตั้งเทอร์โบ ไม่ควรใช้หัวเทียนร้อน เพราะจะยิ่งสะสมความร้อนมากส่งผลให้ชิ้นส่วนต่างๆ ภายในห้องเผาไหม้และหัวเทียนเสียหายได้

ภาพจาก www.superstreetonline.com

การเปลี่ยนหัวเทียนเมื่อถึงระยะนับว่าเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อยืดอายุการใช้งานเครื่องยนต์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และช่วยลดอัตราการกินน้ำมัน ลดมลพิษจากการเผาไหม้ที่สะอาดหมดจด และนอกจากนี้ อาจมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกันอีกมากมาย เช่น สายหัวเทียน คอยล์จุดระเบิด กำลังไฟจากแบตเตอรี่ ซึ่งล้วนมีผลในการทำงานหัวเทียนและระบบการจุดระเบิดในเครื่องยนต์ให้สมบูรณ์ ควรหมั่นคอยดูแลและรักษาให้มีสภาพพร้อมใช้งานอย่างสม่ำเสมอ

เครดิต www.checkraka.com