เรื่องของ “ยาง” ที่คุณต้องรู้!

รถยนต์ทุกคันไม่ว่าจะเป็นรถอเนกประสงค์ รถเก๋งซีดาน รถปิคอัพหรือจะรถเพื่อการพาณิชย์ รวมไปจนถึงรถสปอร์ตแบบซูเปอร์คาร์ ย่อมมีสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวตัวรถให้สามารถวิ่งไปบนท้องถนนได้อย่างนุ่มนวลและปลอดภัยนั่นคือ “ยาง” เพราะยางรถยนต์คือ อุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่จะสัมผัสระหว่างรถและถนน การเลือกใช้ยางให้เหมาะสมกับประเภทรถยนต์ต่างๆ จึงมีความสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นสิ่งใด

หน้าที่หลัก 4 ประการของยางรถยนต์

จากข้อมูลของยางบริดสโตนได้บอกหน้าที่ของยางรถยนต์เป็นของสำคัญมากที่สุดและมีหน้าที่คือ
1. รับน้ำหนักรถและน้ำหนักบรรทุก รถยนต์ 1 คัน จะหนักประมาณ 1.6 ตัน หรือเทียบเท่ากับคน 32 คน ซึ่งความดันลมในยางจะเป็นตัวช่วยในการรับน้ำหนักรถและน้ำหนักบรรทุกเหล่านี้ไว้ทั้งหมด
2. ลดแรงกระแทกและการสั่นสะเทือนจากพื้นถนน ลมในยาง จะทำหน้าที่เหมือนปริงช่วยลดแรงกระแทกและการสั่นสะเทือนจากพื้นถนนในขณะขับขี่
3. เป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนทิศทางการขับขี่ ในการหมุนพวงมาลัยจะทำให้ยางล้อหน้าหมุน จึงทำให้รถสามารถมุ่งไปในทิศทางที่ต้องการได้
4. เป็นตัวกลางในการขับเคลื่อนและหยุดรถ ยางจะเป็นตัวกลางถ่ายทอดพลังการขับเคลื่อน และการหยุดรถลงสู่พื้นผิวถนน ทำให้รถสามารถเคลื่อนตัวหรือหยุดรถได้
รู้หรือไม่..หน้ายางสัมผัสถนนนิดเดียวเท่านั้น!
ยางรถยนต์ไม่ว่าจะรุ่นใดก็ตามเมื่อลงพื้นแล้วจะมีผิวหน้ายางที่สัมผัสกับพื้นถนนจริงๆ เพียง “ฝ่ามือ” เท่านั้น ดังนั้นการเลือกใช้ยางจึงต้องให้เหมาะสมกับประเภทของรถ ลักษณะการขับขี่และสภาพถนนที่ใช้ในชีวิตประจำวันบ่อยๆ นอกจากนี้ ยังต้องเลือกยางรถยนต์รุ่นที่มีเทคโนโลยีการออกแบบและผลิตที่ทันสมัย พัฒนากับการใช้งานในประเทศไทยจริงๆ ยิ่งดี
เพราะยางรถยนต์ที่มีการคิดค้นวิจัยให้เหมาะกับสภาพถนนในประเทศไทยโดยเฉพาะ จะทำให้มีการทดสอบการขับขี่ผ่านเส้นทางบนถนนที่ใกล้เคียงกับผู้ใช้งานจริง และยิ่งมีการออกแบบโครงสร้างหน้ายางให้มีผิวสัมผัสติดกับพื้นถนนยิ่งมากเท่าไหร่ ก็ช่วยให้เกาะถนน ควบคุมทิศทางได้มากขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น

การเลือกยาง

ปัจจุบันยางรถยนต์นั้นมีหลายรุ่นหลายประเภท ได้แก่ 

1. ยางสำหรับรถยนต์ทั่วไป – รถยนต์นั่ง รถเก๋ง ทั้งรถซีดานและแฮตช์เแบ็ก ซึ่งจะเป็นรถที่ใช้งานในความเร็วไม่สูงมากนัก เน้นความนุ่มนวล เงียบและใช้ได้กับหลากหลายสภาพถนนหรือฤดูกาล
2. ยางรถกระบะ/รถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ เช่น รถยนต์กระบะบรรทุกของ รถอเนกประสงค์ทั้งแบบ SUV หรือ PPV ต้องการยางที่ใช้สำหรับรับน้ำหนักที่มากขึ้น และขณะเดียวกันต้องมีประสิทธิภาพในการขับขี่ที่ดีอีกด้วย
3. ยางเพื่อใช้งานหลายสภาพผิวถนน เช่น ยางแบบ Off-Road หรือ All Terrian ที่ยึดเกาะถนนได้ทุกพื้นผิวที่ไป ทั้งถนนเปียก ถนนแห้ง ถนนลูกรังทางขรุขระ ใช้ได้ทั้งทางเรียบและทางแบบ Off-Raod
4. ยางพิเศษเพื่อการลุยโดยเฉพาะ เช่น ยางที่มีดอกขนาดใหญ่และร่องลึก ใช้สำหรับขับขี่ผ่านเส้นทางที่โหดมากขึ้น ทั้งการปีนโขดหิน ดินโคลนที่เปียกลื่น หรือลุยข้ามลำธารลึก เป็นต้น
5. ยางสำหรับรถสปอร์ต ยางประเภทนี้เหมาะกับรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูง เช่น รถสปอร์ตหรือซูเปอร์คาร์ รถยนต์ที่ปรับแต่งกำลังเพื่อให้สมรรถนะดีขึ้น ย่อมต้องใช้ยางที่เกาะถนนมากขึ้น
ความจริงยังมียางรถยนต์อีกหลากหลายประเภท ทั้งยางสลิคที่ใช้สำหรับการแข่งขัน, ยางสำหรับขับขี่บนหิมะที่ดอกยางลึกและออกแบบมาพิเศษให้สามารถวิ่งบนทางหิมะได้ รวมไปถึงยางที่หุ้มด้วยโซ่ เป็นต้น

ขับรถอย่างไร-เลือกยางอย่างนั้น

แม่บ้าน-พ่อบ้าน

เมื่อต้องเปลี่ยนยางรถยนต์จึงควรเลือกให้มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับผู้ขับขี่ที่ใช้งานในชีวิตประจำวันมากที่สุด เช่น หากเป็นคนขับช้าไม่เร่งรีบ หรือว่าใช้ในเมืองเป็นหลัก ควรเลือกยางที่มีราคาเหมาะสม มีความยืดหยุ่นและนุ่มเงียบ ดอกยางมีความต้านทานการหมุนของยางลดลง ก็ยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น แถมช่วยประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย

ขับช้าบ้าง-เร็วบ้าง

ผู้ที่ต้องเดินทางในลักษณะทั่วไปคือ ขับขี่ในเมืองใช้ความเร็วต่ำไปจนสูงๆ และมีเดินทางไกลเป็นครั้งคราว ก็ควรเลือกรุ่นยางเผื่อการใช้ความเร็วสูงๆ และทนทานต่อสภาพถนนต่างๆ ได้ดีขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งยางระดับนี้อาจมีราคาที่สูงขึ้น แต่ก็คุ้มกับการใช้งานที่ได้เรื่องความปลอดภัยและประสิทธิภาพการขับขี่ที่ดีขึ้นอีกด้วย

ขาซิ่ง

แน่นอนว่าในบางครั้งต้องทำเวลาด้วยการใช้ความเร็วในเส้นทางต่างๆ ดังนั้นควรเลือกยางที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นไปอีก เพื่อการขับขี่ที่มั่นใจมากขึ้น ทั้งการเร่งออกตัว การเบรก เข้าทางโค้ง ลุยน้ำ เป็นต้น หรือผู้ที่ใช้รถยนต์สมรรถนะสูงๆ เพื่อความเร้าใจและปลอดภัยมากขึ้น แต่ว่า! .. ต้องใช้ความเร็วตามกฏหมายกำหนดด้วยนะครับ

ขาลุย

วันๆ เข้าแต่ป่า ดูนกชมไม้ ดูวิวธรรมชาติ เป็นว่าเล่น นอกจากจะต้องใช้รถยนต์ให้เหมาะสมแล้ว ยางก็เช่นกัน ต้องเลือกให้ตรงกับการใช้งานและประเภทรถอีกด้วย เพราะรถยนต์อเนกประสงค์มีสมรรถนะที่ดีแล้ว ต้องมียางที่สามารถจะถอดทอดกำลังลงพื้นและวิ่งได้อย่างปลอดภัย ทั้งถนนดำถนนแดงหรือเปียกลื่น

ขาเลาะ

สำหรับ “ขาเลาะ” ที่ชอบการผจญภัยแบบสุดขั้ว ทั้งการขับผ่านโขดหิน ดินโคลน ลำธาร จำเป็นต้องเลือกยางที่พร้อมข้ามอุปสรรคต่างๆ เหล่านี้ไปได้อย่างปลอดภัย แต่หากประเภทนี้เมื่อวิ่งถนนเรียบประสิทธิภาพจะลดลงไปเพราะดอกยางที่ไม่สามารถยึดเกาะกับถนนเรียบๆ ได้ ดังนั้นควรใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษด้วยครับ

รถสปอร์ต์หรือซูเปอร์คาร์

รถระดับนี้ต้องใช้ยางที่เหมาะสมกับความเร็วที่เพิ่มตามมาด้วย เพราะยิ่งวิ่งเร็วเท่าไหร่ยางก็ต้องมีเทคโนโลยีในการยึดเกาะถนนตามไปด้วย เพื่อให้ควบคุมรถได้อย่างปลอดภัย

เลือกความนุ่มหรือความหนึบ

การเลือกความนุ่มนวลและสบายในการเดินทาง ยางก็มีส่วนสำคัญด้วยเช่นกัน หากต้องการความนุ่มนวลก็ต้องเลือกขนาดของแก้มยางที่สูงหรือหนา ซับแรงกระแทกได้ดีเมื่อตกหลุม เพราะแก้มยางยืดหยุ่นได้ดี แต่ในความยืดหยุ่นนี้ก็จะมีการให้ตัวของแก้มยางตามมาด้วย ในขณะเดียวกันยางแก้มเตี้ย หรือบาง ย่อมซับแรงสะเทือนได้น้อยกว่า แต่มีการให้ตัวของแก้มยางน้อยกว่าจึงให้ความเกาะหนึบมากกว่า สรุปคร่าวๆ ว่าเลือกความนุ่ม เงียบ แก้มยางหนาๆ และเลือกขับเร็วแบบสปอร์ต แก้มบางหน่อย (ขึ้นกับขนาดของล้อแม็ก รถยนต์แต่ละรุ่นด้วย)

ความกว้าง VS ขนาดล้อ

สุดท้ายต้องเลือกความกว้างของหน้ายาง ให้เหมาะสมกับขนาดของล้อหรือความกว้างของล้อที่ใช้ ไม่ควรเลือกให้เล็กหรือใหญ่จนเกินไป ถ้ายางที่ไม่พอดีกับขนาดของความกว้างล้ออาจทำให้ยางหลุดออกจากล้อเมื่อเข้าโค้งแรงๆ ได้ หรือเกิดรั่วเมื่อตกหลุมแรงๆ

เลี่ยงยางผิดประเภท

ในการเลือกใช้ยางรถยนต์นั้น บางครั้งก็มีปัจจัยเกี่ยวกับประเภทของรถเข้ามาด้วย อาทิ รถกระบะที่ออกแบบมาเพื่อบรรทุกสิ่งของ มีน้ำหนักตัวที่มากและโครงสร้างรถที่ไม่เหมาะกับการใช้ความเร็วสูงๆ แต่อาจมีเจ้าของรถนำไปปรับแต่งช่วงล่างให้เตี้ยลงและเลือกใช้ยางที่ไม่เหมาะสม แก้มเตี้ยหรือบางมากๆ ดอกยางที่ใช้สำหรับรถเก๋งทั่วไป เมื่อใส่รถกระบะบวกกับยางแก้มเตี้ย ก็อาจเกิดอันตรายในการใช้งานได้มากกว่า นอกจากนี้การใช้ความเร็วจนเกิน “ลิมิต” ของรถยนต์ แม้ว่ากำลังเครื่องยนต์จะมากก็ตาม แต่อย่าลืมว่าพื้นฐานคือ “รถกระบะ” ไม่ว่าจะปรับแต่งช่วงล่างมากเพียงไรก็มีข้อจำกัดหากใช้ความเร็วสูงเกินไป

การดูแลยาง

1. เติมลมยางที่เหมาะสม – แรงดันลมยางส่งผลโดยตรงต่ออายุของยางรถยนต์ การเติมลมยางที่ถูกต้องจะสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การเติมลมที่มากไปหรือน้อยไป จะส่งผลให้ยางสึกหรอเร็วขึ้น ส่งผลถึงประสิทธิภาพในการควบคุมรถรวมทั้งสิ้นเปลืองน้ำมัน บริษัทผู้ผลิตรถยนต์แนะนำปริมาณลมยางที่เหมาะสม โดยสามารถดูได้ที่ขอบประตูฝั่งคนขับหรือคู่มือประจำรถยนต์ อย่าลืมตรวจสอบความดันลมยาง ในขณะที่ยางมีอุณหภูมิเย็น ซึ่งหมายความว่ารถยนต์ต้องจอดแล้วอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
2. ตั้งศูนย์ถ่วงล้อได้ระนาบที่ถูกต้อง – ถ้ารถของคุณมีศูนย์ถ่วงล้อที่ผิดเพี้ยนไป จะทำให้ยางสึกหรอไม่เท่ากัน ทำให้ต้องเปลี่ยนยางเร็วขึ้น ยิ่งกว่านั้นรถยนต์ที่มีศูนย์ถ่วงล้อที่ผิดเพี้ยน ยังบ่งบอกถึงปัญหาด้านอื่นๆ ซึ่งกระทบต่อประสิทธิภาพของยางโดยตรง
3. สลับตำแหน่งยางสม่ำเสมอ – แรงกดต่อยางแต่ละเส้นนั้นไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับตำแหน่งของรถ ซึ่งนำไปสู่การสึกหรอของยางที่ไม่เท่ากัน การสลับยางอย่างสม่ำเสมอ (แนะนำโดยบริษัทผลิตรถยนต์ที่ทุกๆ 8,000 ถึง 10,000 กิโลเมตร) นำไปสู่การสึกหรอแบบสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยให้ยางสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
4. ตรวจสอบความสมดุล – ยางและวงล้อที่ไร้สมดุลนำไปสู่อาการสั่นและการสึกหรอไม่เท่ากัน ซึ่งส่งผลให้การเดินทางของคุณขาดความนุ่มนวล และนำไปสู่การเปลี่ยนยางใหม่เร็วขึ้น
5. ความต้านทานต่อการหมุนต่ำ – แรงต้านทานต่อการหมุนมีค่าเท่ากับพลังงานที่ต้องใช้ในการทำให้ยางเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเป็นเส้นตรงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นแรงต้านทานในการหมุนจึงมีผลกระทบโดยตรงต่ออัตราการประหยัดน้ำมัน ซึ่งการเลือกยางที่มีแรงต้านทานในการหมุนที่ต่ำจะสามารถช่วยคุณได้ เช่น ในกลุ่มยาง ECOPIA ของบริดสโตนก็นับเป็นรุ่นหนึ่งที่ช่วยลดพลังงานที่สูญเสียไปโดยเพิ่มระยะทางได้ถึง 11 กม. ต่อน้ำมันหนึ่งถัง
(*ทดสอบโดยสถาบัน TUV Rheinland (ประเทศมาเลเซีย) ด้วยวิธี Chassis Dynamo Test (UNECE-R38 UNECE-R101) รถยนต์ที่ใช้ โตโยต้า แคมรี่ รุ่น 2.0 G ขนาดยาง 215/60R16 แรงดันลมยาง : 230 kpa (เทียบเท่า 33ps) ผลการทดสอบอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน ในพื้นที่ในเมือง ผลของการทดสอบอาจเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับการดูแลยางรถยนต์, สภาพรถ, วิธีการขับขี่ และข้อจำกัดในเงื่อนไขอื่นๆ)

ยางรถยนต์เป็นอุปกรณ์สำคัญที่สุดที่จะพาให้รถไปถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ผู้ใช้รถต้องเคารพกฏหมายจราจร ไม่ขับเร็ว ขับเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ไม่ใช้ยางผิดประเภท และอย่าลืมดูแลสภาพยางตามคู่มือกำหนดอย่างเคร่งครัด

 

เครดิต www.checkraka.com