Gauge หรือ Meter จะติดแยก หรือเสียบช่อง OBD2 ดี?

เทคโนโลยีของรถยนต์ก้าวล้ำนำหน้า จนแทบไม่มีความจำเป็นต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด แต่นั่นเป็นรถสำหรับนำไปใช้งานปกติที่เหล่าวัยแรงไม่ถูกอกถูกใจมากนัก ในทางตรงกันข้ามรถที่ถูกเพิ่มสมรรถนะให้สูงขึ้น หรือหากพูดเป็นภาษาชาวเรา ก็คือ รถแต่ง ดูน่าจะเป็นที่ต้องตาต้องใจมากกว่า และเป็นที่รู้กันว่าโดยอัตโนมัติว่า รถที่ผ่านการปรับแต่งเหล่านี้ ต่างก็มีชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมเติมแต่งติดเข้าไปมากมายไม่ว่าจะเป็นภายนอก ภายใน รวมถึงเครื่องยนต์และช่วงล่าง เรียกว่าสามารถปรับเปลี่ยนได้แทบทุกชิ้นสำหรับรถยุคนี้ และนอกจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้ว ยังมีหนึ่งอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ซึ่งไม่เพียงเฉพาะรถแต่ง รถบ้านยางบางเองก็นิยมนำมาติดกันให้เพียบ สิ่งนั้นคือ Gauge หรือ Meter ที่ติดตั้งรายล้อมไปทั่วห้องโดยสาร แต่หารู้ไหมว่าการเลือกสรรอุปกรณ์ที่ว่ามาเพื่อติดให้เกิดประโยชน์ หรือเหมาะสมกับการใช้งานจริงๆ นั้น…ต้องดูที่อะไร ? อย่าลืมว่า…ในยุคนี้ Meter มีหลายแบบ หลายประเภทให้เลือก

และก่อนจะไปว่ากันที่เรื่องความเหมาะสมของการใช้งาน เรามาดูกันว่า Gauge หรือ Meter มีแบบไหนกันบ้าง ? สำหรับอุปกรณ์นี้ สามารถแยกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ แบบติดแยกตามจุดต่างๆ โดยอาศัยตัวเซนเซอร์ และอีกหนึ่งแบบใช้การต่อช่อง OBD 2 จุดเดียว ซึ่ง 2 ประเภทนี้ ต่างก็ได้รับความนิยมในหมู่คนเล่นรถอย่างมาก แน่นอนว่าทั้ง 2 ประเภทนั้น ต่างก็มีจุดประสงค์ที่ต่างกัน ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำออกมาหลายแบบ

ประเภทแรก เป็นอะไรที่คุ้นเคยกันมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะกลุ่มนักแต่งรถที่ปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ให้ต่างไปจากเดิม นั่นคือ Meter หรือที่นิยมเรียกกัน เกจ์วัด ภาษารถแต่งที่พูดแล้วต้องร้องอ๋อ แน่นอนว่าการวัดค่าที่หน้าปัดทั่วๆ ไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ จะด้วยข้อจำกัดที่ถูกจัดไว้ตั้งแต่การผลิตรถในเรื่องความปลอดภัย ทำให้สเกลในการแสดงผลต่ำ ด้วยเหตุผลนี้ผู้ผลิตของแต่งจึงคิดค้นพัฒนาต่อยอดและสร้าง Meter ที่มีสเกลสูงกว่าออกมาจำหน่าย และเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการใช้งาน ยกตัวอย่างแบบชัดๆ วัดรอบเครื่องยนต์ที่สเกลเดิมบนหน้าปัดนั้นมีน้อยกว่า Meter ที่ต่อเสริมเข้าไป

Meter หรือที่นิยมเรียกกัน เกจ์วัด ภาษารถแต่งที่พูดแล้วต้องร้อง

         ประเภทที่ 2 หลายคนนิยมเรียกง่ายๆ ว่า OBD 2 ที่ปัจจุบันต้องบอกว่าได้รับความนิยมอย่างสูง ถึงขนาดผู้ผลิต Meter แบบดั่งเดิมยังหันมาผลิตกัน ไม่แปลกเพราะรถรุ่นเก่าไม่มีพอร์ต OBD 2 ให้เสียบใช้งานนั่นเอง อีกทั้งความอเนกประสงค์ที่ต่อเพียงจุดเดียว น่าจะเป็นเรื่องเด่นของอุปกรณ์ชิ้นนี้ อย่างที่รู้กันว่า OBD 2 ไม่มีการตัดต่อสายไฟแต่อย่างใด แค่เสียบปลั๊กแล้วปรับค่าตามที่ต้องการก็สามารถใช้งานได้ รูปทรงก็แตกต่างกันออกไป ตามแต่ผู้คิดค้นจะสร้างออกมา บ้างก็ดูล้ำ บางก็เหมือนกับของแบรนด์ดัง แต่สิ่งที่ OBD 2 ทำได้คือแสดงผลต่างๆ ที่รถยนต์ให้มาเท่านั้น พูดง่ายๆ คือ ไม่ต่างจากการแจ้งค่าบนหน้าปัดนั่นเอง จะดีกว่าก็ตรงที่ค่าบางอย่างซึ่งไม่ได้โชว์บนหน้า ปัดก็มาโชว์ได้ที่ หน้าจอ OBD 2 หรือ Display Monitor

OBD 2 ในปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างสูง ถึงขนาดผู้ผลิต Meter แบบดั่งเดิมยังหันมาผลิตกัน

        แล้วเราจะเลือกประเภทไหนมาใช้กับรถคันโปรด ไม่ยากเพราะคำตอบมีอยู่ตั้งแต่เริ่มแล้ว สำหรับ Meter แบบดั่งเดิม นั้นเหมาะกับการนำมาใช้เพื่อดูสเกลที่สูงกว่าของเดิม ซึ่งนั่นหมายความว่า สิ่งนี้น่าจะเหมาะกับรถที่เสริมความแรงมาระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งการแสดงผลบนหน้าปัดเดิมไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ แน่นอนว่าต้องติดตั้งเพิ่มในจุดที่ต้องการให้แสดงผลเช่น ต้องการวัดค่าอุณหภูมิความร้อนน้ำ ที่สามารถเลือกติดตั้งได้ว่าจะวัดอุณหภูมิก่อนเข้าหม้อน้ำ หรือหลังจากที่ออกมาแล้ว เป็นต้น ไม่เพียงเท่านั้นการติดตั้งแบบแยกยังสามารถนำค่าที่ได้มาปรับจูนเครื่องยนต์ หรือการทำงานของระบบต่างๆ ได้อีก และยังสามารถแจ้งเตือนเมื่อเกินค่าที่กำหนดไว้ด้วย ถึงได้บอกว่า Meter ประเภทนี้ เหมาะกับรถที่เสริมสมรรถนะนั่นเอง

ส่วน OBD 2 ดูท่าจะเหมาะกับการติดตั้งเพื่อแสดงผลในสิ่งที่หน้าปัดรถยนต์ไม่สามารถแจ้งได้ เรียกว่าแจ้งค่าได้เกือบทั้งหมดที่รถจะสามารถมี แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าตัวแสดงผลมีฟังก์ชั่นมากน้อยขนาดไหนด้วย ซึ่งนอกจากนี้แล้วยังสามารถแจ้งเตือนความผิดปกติต่างๆ แทนการที่เราต้องมานั่งสังเกตตลอดเวลา ซึ่งนั่นเป็นข้อดีที่มีมากกว่าเกจ์วัดแบบแยกในบางรุ่น ที่ไม่มีการแจ้งเตือน จะว่าไปแล้วในปัจจุบัน OBD 2 มีการทำงานที่หลากหลายมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แต่ก็ยังมีข้อจำกัดคือ ไม่สามารถนำค่าที่ได้มาใช้ปรับจูนเครื่องยนต์ได้เหมือน Meter ประเภทติดแยก แต่สิ่งที่ OBD 2 ทำได้ดีกว่าคือค่าที่ได้ มีความเที่ยงตรงและแม่นยำ เพราะค่าที่ได้นั้นเป็นการประมวลผลจากกล่อง ECU นั่นเอง

OBD 2 ไม่มีการตัดต่อสายไฟ แค่เสียบปลั๊กแล้วปรับค่าตามที่ต้องการก็สามารถใช้งานได้

 

ต้องบอกกันตามตรงว่า งานนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เรื่องความชื่นชอบเพียงอย่างเดียวซะแล้ว การเลือกใช้อุปกรณ์วัดค่าการทำงานของเครื่องยนต์อย่าง Meter หรือ เกจ์วัด นั้น ต้องดูที่จุดประสงค์ในการใช้งานประกอบกันด้วย เพราะ OBD2 แม้จะตอบสนองความต้องการได้อย่างครบครั้นและใช้งานง่าย แต่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้เหมือนกับ Gauge หรือ Meter แบบติดตั้งแยก ที่สามารถเลือกติดตั้งได้อิสระตามจุดที่ต้องการจะวัดค่า

งานนี้เรียกว่ามีดี มีด้อยแตกต่างกันออกไป และสิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกใช้อุปกรณ์ทั้ง 2 ชนิด คือ ฟังก์ชั่นการทำงาน และความทนทานแข็งแรง สุดท้ายคงไม่พ้นเรื่องของ แบรนด์ที่จะส่งผลในเรื่องของราคาค่าตัวจนแทบพูดได้เต็มปากว่าของดี ฟังก์ชั่นล้ำ ทนทาน ย่อมมีค่าตัวที่สูง ก็พิจารณาดูว่าแบบไหนเหมาะกับรถที่ใช้อยู่ แต่หากไม่เดือนร้อน ก็สุดแล้วแต่จะเลือกเอามาใช้งาน

 

 

เครดิต www.boxzaracing.com