สำหรับโรคหรือปัญหาสุขภาพที่มีผลต่อสมรรถนะในการขับขี่ที่ประชาชนต้องระมัดระวัง มี 9 กลุ่มโรคและปัญหาสุขภาพเสี่ยง ได้แก่
- โรคที่เกี่ยวกับสายตาต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม ทำให้ขับรถในเวลากลางคืนแล้วมองไม่ชัด ส่วนคนเป็นต้อหินทำให้มุมสายตาแคบลง มองเห็นภาพส่วนรอบได้ไม่ดี และมองเห็นแสงไฟบอกทาง หรือไฟหน้ารถพร่าได้
- โรคทางสมองและระบบประสาท ที่ทำให้มีอาการหลงลืม การตัดสินใจช้าและสมาธิไม่ดี
- โรคหลอดเลือดสมอง ทำให้แขนขาไม่มีแรงขับรถ เหยียบคันเร่ง เหยียบเบรคหรือเปลี่ยนเกียร์ สมองสั่งให้แขนขาทำงานได้ไม่ดีเหมือนเดิม ความไวของการตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ ลดลง
- โรคพาร์กินสัน มีอาการแข็งเกร็ง มือสั่น เท้าสั่น ทำอะไรช้าลง ทำให้ขับรถได้ไม่ดี
- โรคลมชัก ในสภาวะที่ควบคุมอาการชักไม่ได้ จำเป็นต้องรับยาต่อเนื่องจนปลอดอาการของโรค และไม่เกิดอาการชักอย่างน้อย 1 ปีจึงจะปลอดภัยเพียงพอในการขับรถ
- โรคไขข้อ ข้อเสื่อม ข้ออักเสบต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อการขับรถ เช่น ข้อเข่าเสื่อม ทำให้เหยียบเบรกได้ไม่เต็มที่ ข้อเท้าอักเสบปวดจากโรคเก๊าท์ ทำให้ขยับลำบาก โรคกระดูกคอเสื่อม ทำให้ปวดคอ เอี้ยวคอดูการจราจรได้ลำบาก หรือมีอาการปวดหลังจากกระดูกหลังเสื่อม ทำให้นั่งขับรถได้ไม่นาน
- โรคหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง อาจมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก วูบ หมดสติ ระหว่างขับรถ
- โรคเบาหวานที่ควบคุมยังไม่ได้ ถ้าน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้มีอาการ หน้ามืด ใจสั่น สมาธิไม่ดี ตาพร่า
- การกินยาบางชนิด มีผลทำให้ง่วงซึมหรือง่วงนอน มึนงง สับสนได้เวลาขับรถ และทำให้การตัดสินใจ สมาธิ และความรวดเร็วในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ช้า ควรปรึกษาแพทย์ว่ายาที่กินมีผลต่อสมรรถนะในการขับรถหรือไม่
กรมควบคุมโรค ขอแนะนำว่า หากประชาชนทราบว่าตนเองมีปัญหาสุขภาพ ร่างกายไม่พร้อมที่จะไปขับรถ ไม่ควรขับรถเด็ดขาด เพราะไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อตนเอง ยังส่งผลต่อผู้ใช้รถใช้ถนนที่ร่วมทางด้วย ซึ่งในแต่ละปีมีข่าวผู้ขับขี่ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคลมชัก กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจวาย เกิดอาการเฉียบพลันทำให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรง มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตได้
ประชาชนที่ป่วยใน 9 กลุ่มโรคและปัญหาสุขภาพเสี่ยง ที่อาจมีผลต่อการเกิดอุบัติเหตุ ควรพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด หากทราบว่าตนเองมีปัญหาสุขภาพ ร่างกายไม่พร้อม หรือช่วงที่มีอาการ ห้ามขับรถโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและเพื่อนร่วมทาง
สอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422
เครดิต www.autospinn.com