หลายคนทราบดีอยู่แล้วว่าการขับรถในขณะฝนตกอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่าปกติ ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากสภาพความพร้อมของรถหรือทักษะของผู้ขับขี่เอง แต่สิ่งหนึ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ อาการเหินน้ำ หรือ Hydroplaning ที่ทำเอารถหลายคันหมุนคว้างตกถนนมานับไม่ถ้วน

อาการเหินน้ำ (Hydroplaning)

เป็นอาการที่หลายคนอาจเคยพบเจอมาบ้างไม่มากก็น้อย หากใช้ความเร็วอย่างพอดีก็ยังพอสามารถควบคุมรถได้ แต่หากใช้ความเร็วเกินลิมิตก็อาจถึงขั้นทำให้รถเป๋ได้บ้าง โดยที่ผ่านมามีเหตุรถเสียหลักจากอาการเหินน้ำเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง และหลายครั้งจบลงถึงขั้นเสียชีวิตเลยทีเดียว

     ยางรถยนต์ที่ใช้กันทั่วไปถูกออกแบบให้มีร่องดอกยางสำหรับรีดน้ำบนถนนเปียกอยู่แล้ว แต่เมื่อผ่านการใช้งานมาเป็นระยะเวลานาน ความลึกของดอกยางก็จะค่อยๆ ลดลง ย่อมทำให้ประสิทธิภาพการรีดน้ำลดลงตามไปด้วย เมื่อขับรถผ่านแอ่งน้ำด้วยความเร็วสูง ยางจะไม่สามารถรีดน้ำออกได้ทัน ส่งผลให้เกิดชั้นน้ำอยู่ระหว่างหน้ายางและพื้นถนน ทำให้เสียการควบคุมไปในที่สุด

     ยิ่งกรณีล้อข้างใดข้างหนึ่งลงแอ่งน้ำ ขณะที่ล้ออีกฝั่งยังคงอยู่บนถนนแห้ง ก็จะทำให้ตัวรถเสียสมดุลในการยึดเกาะถนน หากขับมาด้วยความเร็วสูงมาก ก็อาจทำให้รถเฉไปยังฝั่งที่มีน้ำท่วมขังอยู่ กรณีร้ายแรงที่สุดก็คือรถหมุนเสียหลักชนเข้ากับรถคันอื่น หรือตกถนนออกไปเลย

     อย่างไรก็ดี อาการเหินน้ำอาจเกิดขึ้นได้แม้ว่ายางจะยังคงอยู่ในสภาพดีก็ตาม เนื่องจากยางแต่ละเส้นก็มีขีดจำกัดในการรีดน้ำอยู่แล้ว หากขับรถด้วยความเร็วสูงเกินลิมิตที่ยางจะรับไหว ก็ย่อมส่งผลให้เกิดอาการเสียหลักได้เช่นกัน

     แม้ว่ารถยนต์รุ่นใหม่ๆ จะมีระบบควบคุมเสถียรภาพที่เข้ามาช่วยควบคุมและป้องกันอาการเสียหลักโดยเฉพาะ แต่ก็ไม่มีระบบไหนที่สามารถช่วยได้เต็ม 100% ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดในการป้องกันอาการเหินน้ำก็คือการใช้ความเร็วอย่างเหมาะสมบนถนนเปียก ไม่ขับด้วยความเร็วสูงเกินไป หลีกเลี่ยงการเร่งแซงโดยไม่จำเป็น เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้คุณปลอดภัยช่วงฤดูฝนแล้วล่ะครับ

 

 

เครดิต www.sanook.com