รรมชาติของคนที่ขับรถโดยทั่วไปแล้ว เมื่อเปิดประตูขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับ คงไม่มีใครหันมามองที่ขอบประตูแน่นอน แต่รู้หรือไม่ครับว่า ที่ขอบประตูฝั่งคนขับของรถทุกคันจะมีเลขเด็ดซ่อนอยู่!

สัปดาห์ที่แล้ว ผมนำประสบการณ์ยางแตกและวิธีการแก้ไขในหลากหลายรูปแบบมาแชร์กันไปแล้ว ซึ่งหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้ผ่านไม่มากก็น้อยครับ มาในสัปดาห์นี้ ยังมีอีกหนึ่งจุดสังเกตเกี่ยวกับลมยางมาฝากกันครับ

เวลาเราขับรถเข้าไปตามปั๊มน้ำมันเพื่อเติมลม พนักงานมักจะถามว่า “ความดันลมยางเท่าไหร่ครับ?” โดยตัวเลขที่เราคุ้นเคยกันก็จะอยู่ราว 30-40 ประมาณนี้ ซึ่งหน่วยของมันคือ ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (psi : pound per square inch)

ไอ้เจ้าตัวเลขที่ว่านี้ ปกติจะถูกติดเป็นสติกเกอร์ หรือเพลทเล็ก ๆ ไว้ที่ขอบประตูด้านคนขับ ชนิดที่ไม่ต้องไปขูดหาแต่อย่างใดนะครับ (ฮา) ถือเป็นตัวเลขความดันลมยางตามสเปกรถที่ออกจากโรงงาน ตามที่วิศวกรคำนวนเอาไว้ให้แล้วเสร็จสรรพ

ตัวเลขในสติกเกอร์จะมีข้อมูลหลัก ๆ เริ่มจากขนาดหน้ายาง-แก้มยาง และเส้นผ่านศูนย์กลางล้อแม็กซ์ (อาทิ 225/50R17) ส่วนความดันลมยางบนสติกเกอร์ที่ขอบประตู เขาจะใส่มาถึง 3 รูปแบบมาตรการวัด ซึ่งก็ไม่ต้องงงครับ

หากเป็นตัวเลขเยอะ ๆ 3 หลัก คือ “หน่วยกิโลปาสคาล (kPa)” ถ้าเป็นตัวเลขมีจุดทศนิยม คือ “หน่วยกิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร (kgf/cm2)” สองมาตรวัดนี้ไม่ต้องไปสนใจครับ ให้เราสนใจที่หน่วย “ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (psi)” เท่านั้นพอ

นอกจากนั้นก็ยังมีข้อมูลของยางอะไหล่ว่าควรเติมลมยางอะไหล่ทิ้งไว้ที่เท่าไหร่ ขณะเดียวกันในรถบางรุ่นก็ระบุความดันลมยางที่เหมาะสมตามความเร็วของรถเอาไว้ด้วย ว่าหากขับเร็วระดับนี้ ควรเติมลมยางไว้เท่าไหร่

รถยนต์ส่วนใหญ่จะกำหนดให้เติมลมยางล้อหน้ามากว่าล้อหลังเล็กน้อย เนื่องจากเผื่อน้ำหนักของเครื่องยนต์ที่ยางคู่หน้าต้องรับภาระ อย่างไรก็ดีในรถบางรุ่น ก็มีการคำนวณมาให้ชัดเจนครับ ว่าหากมีผู้โดยสารเบาะหลังนั่งเต็มพิกัด ควรต้องเติมเท่าไหร่

     ทั้งหมดนี้เป็นเทคนิคเล็ก ๆ เวลาเรานำรถเข้าเติมลมครับ แนะนำว่าควรจะเติมตามตัวเลขที่ขอบประตูเป็นดีที่สุด เพราะเขาคำนวนมาแล้วจากโรงงาน อย่างน้อยก็จะช่วยให้รถของคุณเก่าช้าลงได้แน่นอน

 

 

เครดิต www.sanook.com