ที่จริงแล้วในช่วงหน้าฝน “การดูแลรถ” จะยุ่งยากมากกว่าฤดูอื่น แต่หลายคนกลับไม่ใส่ใจเท่าที่ควร ด้วยความเชื่อผิด ๆ ว่า รอให้หมดฝนแล้วค่อยล้างทีเดียวบ้าง ฝนตกก็ล้างรถไปในตัวแล้วบ้าง ความเข้าใจเหล่านี้ทำให้หลายคนต้องเสียใจที่ไม่ดูแลรถให้ดีและเสียเงินเพื่อทำสีรถใหม่มาแล้ว

     และที่สำคัญการใช้รถในหน้าฝนก็ต้องคำนึงถึง “ความปลอดภัย” ด้วย เพราะระหว่างที่ฝนตก โอกาสเกิดอุบัติเหตุมีสูงขึ้น จึงจำเป็นต้องเตรียมรถให้มีสภาพพร้อมอยู่เสมอ ด้วย 3 เทคนิคง่าย ๆ ในการดูแลรักษารถยนต์ให้พร้อมใช้งานในหน้าฝนที่ Tonkit360 นำมาฝาก

1. ล้างรถ-เคลือบสี

     หลายคนคิดว่าการล้างรถในหน้าฝนนั้นไม่มีประโยชน์ เพราะคิดว่าล้างไป เจอฝน รถก็เลอะอยู่ดี หรือบางคนก็คิดจะให้น้ำฝนช่วยล้างรถซะด้วย อย่าลืมว่าน้ำฝนไม่ได้ช่วยให้รถสะอาดขึ้น แถมมาพร้อมกับเศษดิน เศษหิน และฤทธิ์กรดของน้ำฝน ซึ่งทำลายสีรถยนต์ไปทีละเล็กทีละน้อย ดังนั้นหลังจากลุยฝนมา ควรใช้น้ำฉีดแรง ๆ ล้างในทันที เพื่อเอาคราบสกปรกออก แต่ถ้าล้างได้เลยก็จะยิ่งดี ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าแห้งเช็ดรถหลังฝนตก เพราะจะทำให้รถเป็นรอยขนแมวได้

     นอกจากนี้ การล้างรถพร้อมขัดเคลือบสีจะช่วยให้เหมือนได้รถใหม่ เพราะสีรถปกติจะถูกเคลือบเอาไว้ ซึ่งเวลาทำความสะอาดจะทำได้ง่ายกว่ารถที่ไม่ได้เคลือบสี หากเป็นไปได้ ควรล้างรถพร้อมเคลือบสีเดือนละ 2 ครั้ง ในช่วงหน้าฝน

2. การทำความสะอาดภายในห้องโดยสาร

     ด้านในตัวรถก็จะละเลยไม่ได้เช่นกัน อย่างเช่นเบาะรถที่อาจมีความชื้น สร้างปัญหากลิ่นอับ สะสมเชื้อโรค และทำให้อุปกรณ์เกิดความเสียหาย ซึ่งค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนก็สูงด้วย รวมถึงที่พื้นรถที่เปื้อนคราบดินโคลนด้วย หากชิ้นส่วนใดสามารถถอดออกมาล้างหรือซักได้ก็ควรถอดออกมา ชิ้นส่วนที่ถอดไม่ได้ก็ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นที่ผสมน้ำยาทำความสะอาดเช็ด แล้วเช็ดด้วยผ้าสะอาดอีกที จากนั้นเปิดประตูหรือหน้าต่างระบายอากาศ ส่วนพื้นรถก็เช็ดปัดกวาดให้เรียบร้อย

3. ตรวจสอบการทำงานของรถ

     สิ่งสำคัญที่สุดในการใช้รถช่วงหน้าฝน คือ ต้องตรวจสอบความพร้อมในการทำงานของส่วนต่าง ๆ ของรถเพื่อ “ความปลอดภัย” ซึ่งถ้าพบความผิดปกติ ควรนำรถไปตรวจสอบสภาพที่ศูนย์บริการทันที

ยางรถยนต์

     ยางรถยนต์เป็นชิ้นส่วนเดียวที่สัมผัสกับพื้นถนนตลอดเวลา ไม่เพียงแต่ทำให้รถเคลื่อนที่ไปยังจุดหมายปลายทางได้เท่านั้น แต่ยางรถยนต์ยังมีส่วนรักษาชีวิตเราได้ เพราะ “ดอกยาง” มีบทบาทสำคัญมากในการขับขี่ช่วงฝนตก ทำหน้าที่รีดน้ำออกเมื่อหน้ายางสัมผัสกับพื้นถนนที่เปียกและลื่น

     โดยเฉลี่ยหากรถวิ่งด้วยความเร็วคงที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดอกยางจะรีดน้ำได้ราว 10-15 ลิตรต่อวินาที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของดอกยาง ความลึกของร่องยาง ที่หากยิ่งลึกมากก็จะยิ่งช่วยรีดน้ำได้ดีมากขึ้น ช่วยลดระยะเบรก ทำให้รถหยุดได้เร็วขึ้นหากเกิดเหตุฉุกเฉิน และต้องตรวจดูลมยางด้วย เพราะลมยางที่พอดีจะช่วยในเรื่องให้รถเกาะถนนได้ดีขึ้น

ที่ปัดน้ำฝนและน้ำฉีดกระจก

     ทดสอบง่าย ๆ ด้วยการเปิดที่ปัดน้ำฝน หากปัดกระจกได้ใสสะอาดชัดแจ๋ว แปลว่ายางปัดน้ำฝนอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมเดินทาง แต่หากยางหมดสภาพหรือสกปรก เมื่อรีดน้ำออก กระจกจะไม่ใส มีคราบสกปรก กระจกมัว ส่งผลให้ทัศนวิสัยแย่ ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย รวมถึงต้องตรวจสอบระบบน้ำฉีดกระจกด้วยว่ามีน้ำอยู่เต็มกระปุกหรือไม่ เพื่อให้สามารถฉีดทำความสะอาดกระจกได้อย่างราบรื่นตลอดการเดินทาง

ไฟสัญญาณรอบตัวรถ

     ไฟสัญญาณทุกดวงมีความสำคัญต่อชีวิต เพราะช่วยลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุในช่วงขณะฝนตกได้ เนื่องจากขณะที่ฝนตก ทัศนวิสัยในการมองเห็นจะลดลง หากไฟสัญญาณทำงานไม่สมบูรณ์ ส่องไม่เห็นทาง หรือให้สัญญาณกับรถคันอื่นไม่ชัดเจน ก็จะเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้ ฉะนั้น ต้องตรวจเช็คให้ดีว่าทุกดวงทำงานได้ดีไม่มีปัญหา ทั้งไฟหน้า ไฟต่ำ ไฟสูง ไฟตัดหมอก ไฟเบรก ไฟฉุกเฉิน ไฟเลี้ยว และไฟถอยหลัง

แบตเตอรี่รถ

     เมื่อต้องขับรถลุยน้ำ อาจจะทำให้แบตเตอรี่เกิดความชื้น มีขี้เกลือ รถสตาร์ทไม่ติด กระแสไฟรั่ว และไฟช็อต จึงต้องมีการขัดขี้เกลือเหล่านั้นออก โดยใช้กระดาษทรายหรือแปรงลวดขัด จากนั้นใช้ผ้าแห้งซับ ฉีดสเปรย์ไล่ความชื้น และเคลือบบาง ๆ ด้วยจาระบี จะช่วยกำจัดปัญหาขี้เกลือที่แบตเตอรี่ได้

ระบบเบรก

     เป็นระบบที่สำคัญมาก ต้องตรวจสอบดูว่าผ้าเบรกยังใช้การได้ดีหรือเสื่อมสภาพไปแล้ว สังเกตได้จากการเหยียบเบรกว่าจมลึกกว่าปกติหรือไม่ หรือมีการดึงที่ล้อหน้าไปด้านใดด้านหนึ่งหรือไม่ หากมีก็ควรส่งเข้าศูนย์ซ่อมให้เรียบร้อย

 

 

เครดิต www.sanook.com

 

ครีบแปรผันเทอร์โบ Vigo มีกี่แบบ