หากเราต้องมีการเดินทางไกล หรือขับรถยนต์ข้ามจังหวัด สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย คือ การเช็กสภาพรถยนต์ของเราให้พร้อมกับการเดินทาง หลายคนอาจเลือกการส่งรถเข้าเช็กสภาพที่อู่ แต่เราเองก็สามารถเช็กด้วยตัวของเราเองได้ นอกจากการเช็กลมยาง เติมน้ำมัน ควรมีการตรวจสอบรถยนต์ของเราในด้านใดอีกบ้างเพื่อความพร้อม และเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ถนน

1. ยางรถยนต์

     การตรวจสอบยางรถยนต์นับว่าเป็นสิ่งแรกๆ ที่เหล่านักเดินทางมักจะนึกถึง นอกจากตรวจสอบสภาพของล้อรถว่ามีรอยรั่ว, รอยซึม และการสึกของดอกยางว่าความสมบูรณ์พร้อมที่จะเดินทางแล้วหรือไม่ รวมไปถึงการเช็กลมยาง และเติมลมยางให้ได้ตามที่มาตรฐานกำหนด ก็จะทำให้รถวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย

2. แบตเตอรี่รถยนต์

     เป็นอะไหล่สำคัญอย่างหนึ่งของรถยนต์ ถ้าหากมีการเสื่อม หรือเสียกลางทางคงหาอะไหล่ซ่อมลำบาก หากเราส่งรถเพื่อเช็กสภาพกับอู่ซ่อมก่อนออกเดินทาง ทางอู่ซ่อมก็จะสามารถเช็กให้ได้อย่างละเอียดว่าแบตเตอรี่พร้อมสมบูรณ์ดี หรือควรจะต้องทำการเปลี่ยน หรือเตรียมแบตสำรองไว้หรือไม่

     แต่เราเองก็สามารถตรวจสอบว่าแบตเตอรี่ได้ด้วยตนเองง่ายๆ ด้วยการดูสัญลักษณ์ที่คอนโซลรถ หากมีสัญลักษณ์เตือนรูปแบตสีแดง แสดงว่าแบตของคุณกำลังมีปัญหา อาจเป็นสัญญาณว่าแบตของคุณอ่อนลง หรือกำลังแบตเสื่อม ให้นำรถเข้าเช็กที่อู่ หรือศูนย์โดยด่วน หรือหากมีมิเตอร์วัดแบตรถยนต์ ก็สามารถใช้เช็กได้ โดยทำการตรวจหลังจากมีการใช้งานรถยนต์ประมาณ 1 นาที หรือภายใน 4-6 ชั่วโมง โดยการอ่านค่ามิเตอร์ ควรอยู่ 12-12.8 หากต่ำกว่า 12 แสดงว่าแบตรถยนต์ของเราเริ่มเสื่อมแล้ว ควรทำการเปลี่ยนก่อนที่จะมีการจอดรถทิ้งไว้นานจนอาจจะสตาร์ทไม่ติด

3. ระบบเบรก น้ำมันเบรก และผ้าเบรก

     สามารถเช็กได้เบื้องต้นการจากการสังเกตในตอนขับขี่ทั่วไปว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในระหว่างการเหยียบเบรกหรือไม่ เช่น รู้สึกว่าลึกกว่าปกติ ต้องเหยียบซ้ำๆ หากปล่อยไว้นานๆ อาจทำให้เบรกแตกได้ รวมไปถึงการเช็กระดับน้ำมันเบรกว่ามีการลดลงหรือไม่ หากมีการลดลงจากขีด max จะถือว่าผิดปกติ และเป็นไปได้ว่าผ้าเบรกอาจสึก ใกล้หมด หรือมีจุดรั่วซึมในระบบเบรก ซึ่งเราสามารถเช็กสายเบรกในเบื้องต้นได้จากการสังเกตจุดรั่วซึม หรือพบรอยคราบน้ำมันเบรกหรือไม่

4. ช่วงล่างของรถยนต์

     การตรวจเช็กช่วงล่างของรถยนต์ก็เป็นอะไรที่เราไม่ควรละเลยเช่นกัน เมื่อเราขับมาเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เกิดการสึกหรอของช่วงล่าง เช่น ศูนย์ถ่วงล้อไม่ตรง ซึ่งสามารถเช็กเบื้องต้นได้ด้วยการขับรถเป็นทางตรง และทำการเช็กว่าพวงมาลัยมีการเอียงไปทางซ้าย หรือขวาแบบผิดปกติหรือไม่ ถ้าหากพบว่าผิดปกติ ควรนำไปตั้งศูนย์ใหม่

     การเช็กช่วงล่างของรถยนต์ในบริเวณเช่น โช้กอัป, ลูกหมาก, ยางกันฝุ่น หรือยางรัดต่างๆ สามารถใช้การสังเกตความผิดปกติในขณะการขับขี่ของคุณเป็นตัววัดได้ เช่น อาจมีความรู้สึกเวลาขับขี่ไม่เหมือนเดิม, มีเสียงแปลกๆ ดังขึ้นในขณะที่เลี้ยว หรืออาจมีน้ำมันไหลทิ้งเป็นคราบอยู่บนพื้น ทั้งนี้เพื่อความมั่นใจ หลังสังเกตพบสิ่งผิดปกติแล้วก็สามารถนำส่งรถเข้าเช็กอย่างละเอียดได้

5. ระบบหล่อเย็น

     การเช็กระบบหล่อเย็น หรือมักเรียกว่า “เช็กหม้อน้ำ” คือสิ่งสำคัญในการช่วยระบายความร้อนของเครื่องยนต์ในขณะที่ทำงาน เป็นสิ่งง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถทำการเช็กได้โดยการสังเกตระดับน้ำในหม้อว่าอยู่ในระดับใด ซึ่งควรอยู่ในระดับเต็ม หรือเกือบเต็มอยู่เสมอ โดยทำการเช็กได้เมื่อรถจอดสนิท และเครื่องยนต์เย็นตัวแล้วเท่านั้น เราสามารถหาซื้อน้ำยาหล่อเย็นจากร้านค้า หรืออู่ซ่อมรถยนต์มาเติมเองได้เลย

6. ระดับน้ำมันหล่อลื่นรถยนต์

     หรือมักจะเรียกกันทั่วไปว่า น้ำมันเครื่อง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของระบบเครื่องยนต์ ที่ช่วยลดแรงเสียดทาน ระบายความร้อน และชะล้างสิ่งสกปรก เป็นอีกสิ่งที่เราสามารถทำการเช็กด้วยตัวเองได้โดยง่าย โดยการจอดรถให้อยู่ในแนวระนาบ ไม่ลาดเอียง ดับเครื่องยนต์ รอ 1-5 นาที แล้วค่อยทำการวัดระดับ ดึงก้านวัดออกมาทำความสะอาด ก่อนจะเสียบกลับลงไปในจุดเดิม และดึงออกมาอีกครั้งเพื่อทำการเช็กระดับน้ำมัน หากอยู่ระหว่างขีด F กับ L หรือ Max กับ Min แสดงว่าปกติ แต่ถ้าน้อยไปอาจมีจุดรั่วซึมที่เกิดขึ้น หรือถ้าหากมากไปก็อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้

7. ระบบไฟส่องสว่าง และสัญญาณไฟ

     ควรตรวจเช็กไฟในตำแหน่งต่างๆ ให้ทำงานได้ปกติก่อนออกเดินทางไกล ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้ารถ, ไฟท้ายรถ, ไฟสัญญาณต่างๆ, ไฟเตือนน้ำมันเครื่อง, ไฟเตือนถุงลม ตลอดจนระบบไฟฟ้าต่างๆ ในรถยนต์ก็ควรทำการเช็กให้เรียบร้อย ว่าสามารถทำงานได้ปกติ แสงส่องสว่างได้สม่ำเสมอหรือไม่ หากดวงใดที่ไฟสว่างน้อยลง หรือใกล้เสียควรทำการเปลี่ยนก่อนการเดินทางไกล เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุในการขับขี่ช่วงกลางคืน หรือหมอกจัดได้

8. ระบบปรับอากาศ

     สำหรับระบบปรับอากาศทำความเย็นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการขับขี่รถยนต์ในประเทศไทยที่มีอากาศร้อน ก่อนการเดินทางไกลควรทำการเช็กระดับน้ำแอร์ที่อยู่ในระหว่างแผงระบายความร้อนด้านหน้ารถ หากมีฟองอากาศแสดงว่าน้ำยาแอร์เริ่มน้อยลงแล้ว สามารถเติมน้ำยาเอง หรือนำรถไปเช็กสภาพที่อู่ซ่อมพร้อมเติมน้ำยาแอร์ ตรวจสอบรอยรั่ว พร้อมทำความสะอาดล้าง เป่าฝุ่นได้ในเวลาเดียวกัน

     นอกจากการเช็กในเบื้องต้นแล้ว ก็ควรทำการเช็กรอบตัวรถยนต์ว่ามีส่วนเสียหายที่ต้องซ่อมก่อนออกเดินทางหรือไม่ เช็กการล็อกของประตูรถ และส่วนต่างๆ ในห้องโดยสารให้ละเอียด และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ควรมีการศึกษาเส้นทาง เตรียมแผนที่ และวางแผนการเดินทางก่อนการเดินทางไกลอยู่เสมอ เพื่อช่วยให้ประหยัดเวลา และประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย

 

 

เครดิต www.sanook.com

 

ก้านสูบ 4JJ1 / 4JK1 D-max มีกี่แบบ?