Lamborghini เตรียมปิดตำนานเครื่องยนต์ V12 ด้วยการเปิดตัวซูเปอร์คาร์ 2 รุ่นที่ผลิตขึ้นในครั้งเดียวอย่าง Invencible และ Autentica ก่อนเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านการผลิตรถสปอร์ตซูเปอร์คาร์ไฮบริดในไตรมาสแรกของปี 2023

เตรียมปิดตำนาน V12 ของ Lamborghini กับรุ่น Invicible และ Autentica

อีกไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ Lamborghini จะเปิดตัวรถสปอร์ตซูเปอร์คาร์คันแรกในช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 ย้อนกลับไปเมื่อกลางปี 2021 ค่ายกระทิงดุแห่งอิตาลีเปิดตัว Aventador LP 780-4 Ultimae ซึ่งอาจเป็นรุ่นสุดท้ายของตระกูล Aventador ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน V12 ไร้ระบบไฟฟ้า ที่ใช้มายาวนานกว่า 12 ปี ในรุ่นแรกสุด LP 700-4 แต่ด้วยค่ายนี้ยังไม่ประกาศปิดไลน์การผลิตเครื่องยนต์ดังกล่าวอย่างเป็นทางการ โอกาสที่จะได้จองรุ่นพิเศษในราคามหาโหดแบบนี้ ก็ยังมีหวังแม้จะมีจำนวนจำกัดก็ตาม ล่าสุด Lamborghini เปิดตัวรุ่นพิเศษในชื่อ Invencible ซูเปอร์คาร์คูเป้ และ Autentica ซูเปอร์คาร์เปิดประทุน โดยสร้างจากพื้นฐานของ Aventador รุ่นสุดท้าย และขุมพลังเบนซิน V12 จาก Ultimae มาในรูปแบบ 2 ตัวถัง ถ้าใครมองเผินๆ อาจเหมือนแฝดคนละฝาเลยก็ว่าได้

ดีไซน์ภายนอกถูกออกแบบโดยได้แรงบันดาลใจจากรุ่นพิเศษในรูปแบบเดียวกันกับ Reventon ที่ผสมผสานการออกแบบจากยุคอนาคตและยุคปัจจุบันได้อย่างกลมกลืน ซึ่ง 2 รุ่นพิเศษทั้ง Invencible และ Autentica ถูกต่อยอดจากรุ่น Veneno ที่ดีไซน์โหดเถื่อนมากๆ นับตั้งแต่ค่ายกระทิงดุจากอิตาลีเคยทำซูเปอร์คาร์มาก่อน และใครชอบเส้นสายด้านหน้าของรถแข่ง Essenza SCV 12 ก็เอามาใส่ 2 รุ่นพิเศษนี้ด้วยเช่นกัน ที่สำคัญ ยังเอางานออกแบบรูปทรงเรขาคณิตจากรถสปอร์ตน้ำหนักเบาจากรุ่น Sesto Elemento มาด้วย ส่วนแนวคิดการใช้โครงสร้างตัวถัง ใช้รูปแบบ Full Carbon แต่สีภายนอกจะแตกต่างกันชัดเจน โดยรุ่น Invencible ใช้สีแดง Rosso Efesto ในขณะที่รุ่น Autentica ใช้โทนสีเทา Grigio Titans

ทั้งนี้ Invencible และ Autentica มีไฟหน้า LED เป็นรูปลูกศร ลิ้นหน้าและสปลิทเตอร์โดดเด่นเข้ากับตัวรถ ฝากระโปรงมีช่องระบายอากาศชวนนึกถึง Essenza SCV 12 ประตูกรรไกร (Scissor Doors) และบังโคลนที่สวยแฝงคำใบ้ของรุ่น Countach มาในรูปแบบของซุ้มล้อ ล้ออัลลอยด์ที่ไม่เห็นน็อตล้อในตัวดุมกลางทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ และลวดลายเป็นใยแมงมุม

ด้านหลังมีไฟท้าย LED รูปทรงหกเหลี่ยมด้านละ 3 ดวง  แถมรูปทรงดังกล่าวปรากฏที่ฝาครอบเครื่องยนต์และท่อไอเสีย Inconel ติดตั้งตรงกลางทั้ง 3 ท่อ ตามแบบฉบับซูเปอร์คาร์ของ Lamborghini ที่ใช้ในสนามแข่ง และยังมีช่องระบายอากาศและดิฟฟิวเซอร์ในตัว และยางหลังแบบกึ่งเปิด อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 รุ่นพิเศษ มีความแตกต่างกันเล็กน้อยในเรื่องดีไซน์ด้านหลัง รุ่น Invencible มีปีกหลังคงที่คล้าย Sesto Elemento ส่วนรุ่น Autentica มีครีบหลังคู่ และด้วยเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนไม่มีหลังคา จึงมาพร้อมกับโครงสร้างแบบโดม 2 อันหลังพนักพิงศีรษะ

ภายในห้องโดยสาร ยังคงเอกลักษ์ความเป็นสปอร์ตซูเปอร์คาร์ที่เด่นทั้งสมรรถนะและน้ำหนักเบา รวมถึงหลักอากาศพลศาสตร์สูงสุด โดยเน้นวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ และตัดทอนความซับซ้อนของชิ้นส่วนต่างๆ อาทิ ช่องแอร์ผลิตจากเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติให้มีรูปทรงตามใจชอบ พร้อมบุวัสดุ Alcantara ในทุกพื้นผิวที่จับต้องได้ แผงหน้าปัดดิจิทัลที่มีกราฟฟิกเฉพาะในแต่ละคัน แต่ไม่มีหน้าจอสัมผัสระบบอินโฟเทนเมนต์บนแผงคอนโซลกลาง

ขุมพลัง V12 รุ่นสุดท้ายที่แรงสะใจสายสปอร์ตซูเปอร์คาร์

แม้ว่า Lamborghini จะไม่เผยรายละเอียดข้อมูลทางเทคนิคมากนัก แต่คาดว่าน่าจะเอาขุมพลังของ Aventador LP 780-4 Ultimae เครื่องยนต์เบนซิน V12 ขนาด 6.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 780 แรงม้า ที่ 8,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 720 นิวตัน-เมตร ที่ 6,750 รอบ/นาที เหมือนกับรุ่น Ultimae อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 2.8 วินาที อัตราเร่ง 0 – 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 8.7 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 355 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขับเคลื่อนสี่ล้อจับคู่เกียร์อัตโนมัติ ISR 7 สปีด พร้อมติดตั้งระบบ Lamborghini Dynamic Steering บังคับเลี้ยวได้ทั้ง 4 ล้ออย่างนุ่มนวล

ทั้งนี้ Lamborghini Aventador ในเจเนอเรชันต่อไปจะมาพ่วงมอเตอร์ไฟฟ้าในแบบปลั๊กอินไฮบริดที่จะเปิดตัวเร็วที่สุด ภายในไตรมาสแรกของปี 2023 โดยจะนำงานวิศวกรรมของระบบส่งกำลังร่วมกับ Urus พร้อมส่งไม้ต่อให้ Huracan ก่อนเข้าสู่ความเป็น EV ภายในปี 2028 แต่ถ้าจะมาในรูปแบบของซูเปอร์คาร์ต้องรอนานสักหน่อย เพราะในอนาคตอันใกล้ ยังไม่มีเทคโนโลยีขุมพลังไฟฟ้าที่จะรองรับสมรรถนะขั้นเทพของซูเปอร์คาร์ได้

 

 

ที่มา: CarscoopsMotor1

เครดิต www.autospinn.com

 

เทอร์โบ 4JB1-T (สำหรับรถบรรทุก) เป็นยังไง