ถอดรหัสดีเอ็นเอของ MAZDA

มาสด้าเป็นหนึ่งในรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นที่ครองใจผู้ใช้รถยนต์ในทุกยุคสมัย ด้วยการสร้างชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือจากการเป็นผู้นำด้านเครื่องยนต์โรตารี โดยสร้างชื่อจากการคว้าแชมป์ในสนามแข่งเลอมังส์ เอ็นดูแรนซ์ เรซ 24 ชั่วโมง เมื่อ ค.ศ. 1991 มาครอง ทำให้มาสด้ามีชื่อเสียงด้านรถสปอร์ตคุณภาพเยี่ยมในราคาที่เอื้อมถึง ปัจจุบัน มาสด้ายังคงคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีในการเพิ่มสมรรถนะให้กับเครื่องยนต์อย่างไม่หยุดยั้ง เกิดเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะในชื่อ SKYACTIV เครื่องยนต์สมรรถนะเป็นเลิศ ทั้งแรงและประหยัด ทำให้ใครๆ ก็อยากลองขับรถมาสด้าสักครั้งในชีวิต

แม้หลายคนจะคุ้นเคยกับชื่อของมาสด้า แต่น้อยคนจะรู้ว่าบ้านเกิดของมาสด้าอยู่ที่เมืองฮิโรชิม่า ประเทศญี่ปุ่น โดยถือกำเนิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2463 ในฐานะบริษัทผลิตจุกไม้ก๊อก ก่อนจะหันมาผลิตรถยนต์ใน พ.ศ. 2474 และแม้จะได้รับความเสียหายสูงสุดในประวัติศาสตร์โลก เมื่อครั้งที่เมืองฮิโรชิมาเสียหายอย่างหนักจากระเบิดนิวเคลียร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่มาสด้าก็สามารถผลิตรถยนต์ได้อีกครั้งในอีก 4 เดือนให้หลัง ถือเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้ชาวเมืองฮิโรชิมาได้เป็นอย่างดี และในทศวรรษถัดมา มาสด้าก็สามารถคิดค้นเครื่องยนต์ที่ทรงประสิทธิภาพ และผลิตรถยนต์สมรรถนะสูงให้ชาวญี่ปุ่น รวมถึงประชากรในอีกกว่า 130 ประเทศทั่วโลก ได้มีโอกาสเป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้าในทุกวันนี้

มาสด้าในวันที่ใกล้จะอายุครบศตวรรษในปีหน้า ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการในการขับขี่ของมนุษย์ ควบคู่ไปกับการเอาใจใส่ต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทำให้มาสด้ายังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของการเป็นรถยนต์ที่สวยตั้งแต่ดีไซน์ภายนอก แข็งแกร่งด้วยเครื่องยนต์ภายใน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

เหตุผลอะไรทำให้มาสด้ายังคงเป็นรถยนต์ที่ขับสนุก และสามารถเติมพลังให้ผู้ขับขี่ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ในขณะเดียวกันก็สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน มาเริ่มต้นแกะทีละชิ้นส่วนสำคัญของมาสด้า แล้วสำรวจไปพร้อมๆ กัน

ขับสนุก นั่งสบายตลอดเส้นทาง

หัวใจสำคัญของผู้ผลิตรถยนต์คือ ต้องรู้ใจทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร มาสด้าจึงตั้งใจออกแบบรถยนต์ที่ทั้งขับสนุกและนั่งสบาย ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายครั้งที่ผู้โดยสารย่อมเกิดความรู้สึกหวาดเสียวจากการที่รถเหวี่ยงขณะเลี้ยวโค้ง หรือเบรกฉุกเฉินมากกว่าผู้ขับขี่ที่กำลังควบคุมรถอยู่ ทีมวิศวกรของมาสด้าจึงนำหลักการพื้นฐานเรื่องแรง G ไปต่อยอดคิดค้นพัฒนาเป็น ระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะ (G-VECTORING CONTROL หรือ GVC) ที่ช่วยควบคุมสมรรถนะในการขับขี่ให้แม่นยำและสมดุลยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ขับเป็นหนึ่งเดียวกับรถ ในขณะที่ผู้โดยสาร โดยสารได้อย่างสบาย

แน่นอนว่ามาสด้าไม่หยุดอยู่แค่นั้น แต่ยังอัปเกรดไปอีกขั้นด้วย ระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง (G-VECTORING CONTROL PLUS หรือ GVC Plus) ที่ประมวลผลจากการบังคับพวงมาลัยของผู้ขับขี่ ความเร็วของรถ รวมถึงน้ำหนักของเท้าที่กดลงบนแป้นคันเร่ง จากนั้นระบบจะควบคุมแรงบิดของเครื่องยนต์และถ่ายน้ำหนักที่เหมาะสมไปสู่แต่ละล้อ ทำให้รถเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น ควบคุมรถได้แม่นยำและนุ่มนวลยิ่งขึ้น ทำให้ไม่ว่าจะขับขี่ในลักษณะไหน สภาพถนนเป็นอย่างไร รถก็ไม่โคลงจนทำให้ผู้โดยสารต้องเสียอาการ ระบบจะทำให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้อย่างง่ายดาย มั่นใจได้ในความปลอดภัย และขับขี่สนุกได้ดั่งใจตลอดเส้นทาง

ร่างกายกับรถยนต์ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน

มาสด้าให้ความสนใจกับการสร้างรถยนต์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ก่อนจะพัฒนาชิ้นส่วนสักชิ้นหรือระบบต่างๆ ในรถยนต์ ทีมวิศวกรของมาสด้ามักเริ่มต้นด้วยการศึกษาสรีระและพฤติกรรมของมนุษย์เป็นหลัก เช่นเดียวกับจุดกำเนิดในการออกแบบโครงสร้างสกายแอคทีฟ แพลตฟอร์ม เจเนอเรชั่นใหม่ ที่เกิดจากการศึกษาการเดินอย่างเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งพบว่ามนุษย์รับรู้สภาพพื้นจากเท้า ขา สู่กระดูกเชิงกราน โดยมีแนวกระดูกสันหลังรูปตัว S ช่วยรักษาสมดุลทั้งหมดของร่างกายเอาไว้ ดังนั้น มาสด้าจึงพัฒนารถโดยศึกษาจากการเดินของมนุษย์ และออกแบบรถโดยเลียนแบบลักษณะการเดินของมนุษย์ โดยให้ยางและล้อรถรับรู้สภาพถนนแทนเท้าและขา ถ่ายทอดความรู้สึกสู่กระดูกเชิงกราน และเรียกระบบนี้ว่า สกายแอคทีฟ แพลตฟอร์ม เจเนอเรชั่นใหม่ หรือ SKYACTIV-VEHICLE ARCHITECTURE ที่เน้นการทำงานประสานกันของทั้งช่วงล่าง ตัวถัง เบาะนั่ง และยาง เพื่อสร้างรถยนต์ที่สามารถให้ความรู้สึกเสมือนเป็นส่วนหนึ่งกับร่างกายมนุษย์มากที่สุด ทำให้ใครที่เคยนั่งรถมาสด้ามาก่อนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นั่งคันไหนก็ไม่รู้สึกสัมผัสถึงตัวรถได้อย่างแท้จริงเหมือนมาสด้า

ระบบความปลอดภัยที่เหมือนแถมดวงตามาให้รอบคัน

ว่าด้วยเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย มาสด้าก็ไม่เป็นสองรองใคร พร้อมชูไฮไลท์อย่าง i-ACTIVSENSE ระบบเทคโนโลยีความปลอดภัยเชิงป้องกันเฉพาะของมาสด้า ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุบนท้องถนน (ACTIVE SAFETY) จากการพัฒนาเพื่อความปลอดภัยรอบคัน อาทิ ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ, ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ, ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน, ระบบช่วยเตือนเมื่อผู้ขับขี่เหนื่อยล้าขณะขับขี่ ฯลฯ ยิ่งในรถเจเนอเรชั่นใหม่ของมาสด้าได้มีการอัปเกรดเพิ่มประสิทธิภาพของทุกระบบให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ช่วยให้เกิดความปลอดภัยทั้งต่อตัวผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และเพื่อนร่วมทางได้อย่างรอบด้านยิ่งขึ้น เพราะมาสด้าได้คิดเผื่อ เพื่อประโยชน์อย่างยั่งยืนของทุกคนไว้อย่างรอบคอบแล้ว

ขับเคลื่อนโลกด้วยสีเขียว

ปรัชญาที่มาสด้าเน้นย้ำอยู่เสมอคือ การคิดค้นนวัตกรรมเพื่อความสุขที่ยั่งยืนของทุกชีวิตบนโลกใบนี้ ดังนั้น นอกจากการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ในรถทุกรุ่นแล้ว มาสด้ายังใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังไม่แพ้กัน

ปัจจุบัน มาสด้าได้ดำเนินการเพื่อลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลก โดยใช้แนวคิด Well-to-Wheel ที่คำนึงถึงปริมาณในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งระหว่างการขุดเจาะ การผลิต และการขนส่งเชื้อเพลิง แนวคิดนี้ถือเป็นการแก้ไขครั้งสำคัญหลังจากมาสด้าเคยประเมินการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามแนวคิดเก่า Tank-to-Wheel ที่พิจารณาจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์ขณะขับขี่เท่านั้น เช่น จากเดิมมาสด้าให้ความสำคัญกับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เพราะไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระหว่างการขับขี่ แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญถึงพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการขับเคลื่อนรถยนต์ที่ถูกผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งนับว่ามีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในขณะผลิตพลังงานเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้เอง จึงนำมาซึ่งอีกหนึ่งแนวทางในการปฏิบัติงานที่เรียกว่า Multi-Solution เพราะมาสด้าคำนึงถึงสถานการณ์ด้านพลังงาน โครงสร้างการผลิตไฟฟ้า และแหล่งพลังงานสำหรับรถยนต์ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละภูมิภาค โรงงานผลิตรถยนต์มาสด้าแต่ละแห่งจึงหาแนวทางที่เหมาะสมที่สุด เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภูมิภาคนั้นๆ เช่น ในพื้นที่ที่ไฟฟ้าผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ก็ต้องมีการผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายใน และการใช้พลังงานไฟฟ้า ในทางกลับกัน ภูมิภาคไหนที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้อย่างสะอาด รถยนต์ไฟฟ้ายังคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งเมื่อผสานแนวคิด Well-to-Wheel เข้ากับ Multi-Solution แล้ว ยิ่งทำให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สอดรับกับสถานการณ์พลังงานในอนาคต

รถยนต์เพื่อสังคมผู้สูงวัย

ด้วยความที่โลกของเรากำลังก้าวสู่การเป็นสังคมผู้สูงวัย นวัตกรรมใหม่ในอนาคตอันใกล้ของมาสด้าจึงเน้นไปที่ภารกิจในการลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนให้หมดไป โดยเฉพาะอุบัติเหตุที่เกิดจากการขับขี่ของผู้สูงอายุ และอุบัติเหตุจากปัญหาสุขภาพที่คาดไม่ถึง มาสด้าจึงพัฒนายนตกรรมที่ช่วยเป็นหูเป็นตาให้ผู้ขับขี่ หรือ Mazda Co-Pilot ที่จะทำงานทันทีเมื่อรถตรวจพบว่าเกิดความผิดปกติกับพฤติกรรมบางอย่างกับผู้ขับขี่ โดยระบบของรถจะเข้าควบคุมการขับขี่แทนโดยอัตโนมัติ และนำรถเข้าจอดในสถานที่ที่ปลอดภัยได้ทันท่วงที เทคโนโลยี Mazda Co-Pilot จะเริ่มสาธิตการทดสอบใน พ.ศ. 2563 และตั้งเป้าว่าจะสร้างเทคโนโลยีนี้ให้เป็นมาตรฐานใน พ.ศ. 2568

นอกจากนี้ มาสด้าได้พัฒนา Ride Share System แม้ในพื้นที่ที่มีประชากรน้อย เพื่อให้เจ้าของรถสามารถช่วยให้ผู้อื่นเดินทางไปได้ เช่น ในเมืองฮิโรชิม่าที่เป็นเขตที่มีภูเขามาก การเดินทางลำบาก เมื่อมีการเชื่อมต่อการคมนาคมกันก็จะทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและชุมชนมากขึ้น เติมเต็มสังคมมากขึ้น และทำให้ผู้คนช่วยเหลือกันมากขึ้นด้วย

เหล่านี้คือเรื่องราวจากอดีต สู่ปัจจุบัน และนำไปสู่อนาคตอันใกล้ของมาสด้า ที่พัฒนาทั้งตัวเองและโอบอุ้มสังคมและสิ่งแวดล้อมให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน เชื่อหรือยังว่า ขับมาสด้าแล้วทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นได้อีก

เครดิต www.sanook.com