อยากเป็นเจ้าของรถหนึ่งคัน ควรมีเงินเดือนอย่างน้อยเท่าไหร่ จึงจะสามารถผ่อนชำระได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่เสี่ยงปัญหาถูกไฟแนนซ์ยึดรถที่กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนแรงอยู่ในช่วงนี้

อยากผ่อนรถต้องมีเงินเดือนเท่าไหร่?

     หากว่ากันโดยหลักการทั่วไป ธนาคารหรือไฟแนนซ์จะอนุมัติสินเชื่อรถยนต์ภายใต้เงื่อนไขว่ารายรับแต่ละเดือนจะต้องมากกว่าค่างวดอย่างน้อย 2 – 2.5 เท่าขึ้นไป (ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินแต่ละแห่ง) จึงจะมีโอกาสได้รับการอนุมัติ แต่หากมีภาระหนี้ที่ต้องชำระในแต่ละเดือน เช่น ค่าผ่อนบ้าน, ค่าบัตรเครดิต, สินเชื่อส่วนบุคคล ฯลฯ ก็จะถูกนำไปคำนวณความสามารถในการผ่อนชำระร่วมด้วย ส่งผลให้วงเงินอนุมัติจะถูกลดหลั่นลงมา

     นอกจากนี้ ผู้ขอกู้จะต้องไม่มีประวัติค้างชำระเกินกว่า 90 วัน ปรากฏอยู่ในเครดิตบูโร (หรือที่เรียกกันภาษาชาวบ้านว่าติดบูโร หรือติดแบล็กลิสต์) มิเช่นนั้นแล้วโอกาสการได้รับอนุมัติก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

ถึงได้รับอนุมัติสินเชื่อ ก็ไม่ได้แปลว่าผ่อนไหวเสมอไป

     แม้ว่าสถาบันการเงินจะกำหนดให้ผู้กู้ต้องมีรายรับมากกว่ายอดผ่อน 2 เท่าขึ้นไป แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าผู้กู้จะสามารถผ่อนชำระค่างวดตลอดจนครบอายุสัญญา เนื่องจากคำถามที่ว่าฉันจะสามารถผ่อนรถไหวหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลากหลายประการ นับตั้งแต่ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน ไปจนถึงความมั่นคงในอาชีพการงานต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 5 ปี หรือจนกว่าจะผ่อนรถหมด

     คนส่วนใหญ่มักคิดเข้าข้างตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่อยากได้เสมอ เช่นเดียวกับคนที่จะผ่อนรถคันใหม่ ก็มักคิดว่าตัวเองที่มีเงินเดือนเดือนละ 30,000 บาท การผ่อนรถเดือนละประมาณ 12,000 บาท ก็คงไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร เพราะยังเหลือเงินใช้ในแต่ละเดือนอีกกว่า 18,000 บาท แต่ในความเป็นจริงอาจโหดร้ายกว่านั้น

     เพราะต่อให้คุณผ่อนรถแค่เดือนละ 12,000 บาท แต่เงินดังกล่าวเป็นเงินที่ต้องจ่ายต่อเนื่องทุกเดือนไปอย่างน้อยอีก 5 ปี ซึ่งระหว่างนี้ความมั่นคงในหน้าที่การงานถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะหากวันดีคืนดีถูกปลดจากการเป็นพนักงานประจำ รายได้ที่เคยได้รับอย่างต่อเนื่องก็จะหายไป อาจส่งผลให้จ่ายค่างวดช้า ไม่ตรงกำหนด กลายเป็นหนี้เลี้ยงงวด ถูกจัดอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ SM หรือ Special Mention Loan (ค้างชำระ 31-90 วัน) และเสี่ยงต่อการเป็นลูกหนี้เสีย (ค้างชำระเกินกว่า 90 วัน) ตามมา

     นั่นยังไม่นับรวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการครอบครองรถยนต์ ซึ่งถือเป็นก้อนใหญ่กว่าที่หลายคนคิด ไม่ว่าจะเป็นค่าเบี้ยประกันรถยนต์, ค่าบำรุงรักษาตามระยะ, ค่าซ่อมกรณีชิ้นส่วนสึกหรอ, ค่าน้ำมัน, ค่าภาษีประจำปี และอื่นๆ อีกทั้งเมื่อมีรถก็อยากออกไปเที่ยวบ่อยขึ้น ก็จะเกิดค่าใช้จ่ายตามมาได้เช่นกัน

จะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองจะผ่อนรถไหวหรือไม่?

     วิธีวัดว่าตัวเองเหมาะสมที่จะผ่อนรถหรือไม่นั้น อาจใช้วิธีเก็บเงินในแต่ละเดือนให้เท่ากับยอดผ่อนอย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป ยิ่งเก็บได้นานมากเท่าไหร่ยิ่งดี ถ้าระหว่างนี้คุณไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน ก็แปลว่าคุณพอที่จะมีความพร้อมที่จะเป็นเจ้าของรถที่กำลังเล็งเอาไว้ แต่หากเดือนไหนจำเป็นต้องดึงเงินเก็บก้อนดังกล่าวมาใช้แล้วล่ะก็ แนะนำว่าอย่าเพิ่งรีบซื้อรถใหม่จะดีกว่า

     นอกจากนี้ ในช่วงระหว่างการผ่อนรถควรมีเงินสำรองเก็บเอาไว้ก้อนหนึ่ง ซึ่งเงินก้อนนี้ไม่จำเป็นต้องใช้สำหรับการผ่อนรถเพียงอย่างเดียว แต่อาจเอาเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ จะได้ไม่ต้องเบียดเบียนเงินที่จะใช้สำหรับผ่อนรถในแต่ละเดือนนั่นเอง

 

 

เครดิต www.sanook.com

 

1990 ไมตี้X ที่สุดแห่งทศวรรษ